วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Request For Comment

1. ท่านเรียนรู้อะไรบ้างจากการฝึก Juggling
ผมได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยากเกินไปถ้าเพียงได้ลองทำ ผมไม่เคยคิดว่าจะโยนลูกบอล 3 ลูกโดยมือแค่สองข้างได้ในเวลาเดียวกัน แต่การฝึก Juggling ก็พิสูจน์แล้วว่าผมสามารถทำได้ถ้าเริ่มทำและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าตอนนี้ผมจะยังโยนได้ติดต่อกันไม่กี่ครั้ง แต่นี่ก็นับว่ามากเกินกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าไม่มีทางทำได้แน่นอน ผมยังเรียนรู้อีกว่าก้าวแรกของการทำสิ่งใดๆ ย่อมต้องเกิดความผิดพลาด เช่นในการฝึก Juggling ครั้งแรกที่ลองโยน 3 ลูกเลยก็พบว่าจะทำลูกตกอยู่เสมอ จึงต้องฝึกโดยลองโยนอย่างเดียวยังไม่ต้องใส่ใจกับการรับ หลังจากนั้นพอโยนคล่องแล้วจึงค่อยฝึกการรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้การฝึก Juggling ยังต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่ทำลูกหล่นก็ต้องก้มลงไปเก็บ ฝึกแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกับการออกกำลังกาย

2. ท่านชอบเนื้อหาหรือกิจกรรมใดมากที่สุด โปรดให้เหตุผล
ผมชอบกิจกรรมการนำเสนอที่ TCDC มากที่สุด เนื่องจากได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนนอกสถานที่ ได้มีโอกาสเรียนรู้จากนวัตกรรมและงานออกแบบที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์จริงๆ และพวกเราต้องทำงานเป็นกลุ่มในเวลาจำกัดเพื่อรวบรวมข้อมูลและทรัพยากรให้ได้มากที่สุด แล้วนำมาประกอบและสร้างเป็นแนวคิดใหม่ๆ จึงเป็นการเรียนที่แปลกใหม่มากสำหรับผม นอกจากนี้ในการนำเสนอ ผมยังได้มีโอกาสเป็นตัวแทนกลุ่มออกไปพูด ซึ่งสำหรับผมที่ปกติแล้วเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะ นี่นับเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะผมได้ออกไปพูดหน้าชั้นเรียนกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งช่วยผมได้มากในการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปราศจากความเครียด เหมือนมายืนเล่าเรื่องสนุกๆ กันสองคน พูดได้แบบไม่ต้องคิดมากและหัวเราะได้โดยไม่ต้องอายอะไร สำหรับผมการเรียนครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและได้ลองทำอะไรใหม่ๆ มากมาย

3. ท่านคิดว่างานมอบหมายในวิชานี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับวิชาอื่นโดยเฉลี่ย โปรดให้เหตุผล
ผมคิดว่างานในวิชานี้เท่ากับวิชาอื่น แม้ว่าดูเหมือนจะมีงานมากกว่า แต่นั่นเป็นเพราะวิชานี้ไม่มีการสอบทั้งกลางภาคและปลายภาค ทำให้ในช่วงสอบผมสามารถทุ่มเทกับการอ่านหนังสือสำหรับวิชาอื่นได้เต็มที่ สำหรับงานย่อยๆ ที่มีตลอดเทอม รวมถึง Blog ที่ต้องเขียนทุกสัปดาห์ก็ถือว่าเป็นงานปริมาณที่มากกว่าวิชาอื่นเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นงานที่ทำให้เสร็จได้โดยใช้เวลาไม่นานมากนัก ส่วนโครงงานทั้งเดี่ยวและกลุ่มก็เปรียบเสมือนเป็นงานที่ต้องส่งแทนการสอบปลายภาค ซึ่งก็มีความเหมาะสมดีแล้ว

4. จงอ่านบทความเรื่อง "บทเรียนจากเบิร์กเล่ย์" และเสนอกลยุทธ์ในการพัฒนาตนเองเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ข้อ
กลยุทธ์ข้อแรกคือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ เป็นการลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป คนเรามักจะเคยชินกับการปฏิบัติตัวแบบเดิมๆ เป็นเหตุให้เมื่อถูกบังคับให้ทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำก็จะไม่กล้า ไม่ชอบ และยอมแพ้ในที่สุด การลองแวะไปทำอะไรแปลกๆ เริ่มจากนานๆ ครั้ง แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นพฤติกรรมที่คุ้นชินและทำเป็นนิสัยก็จะแก้ปัญหาความกลัวนี้ได้ เช่น จากที่ปกติเป็นคนสนใจแต่เรื่องบันเทิง เล่นอินเตอร์เน็ตทุกครั้งก็เข้าไปอ่านแต่เรื่องดูหนังฟังเพลง ก็ลองเข้าไปอ่านข่าวสังคม เศรษฐกิจบ้างวันละครั้ง อาจเริ่มจากประเด็นใกล้ตัวที่สนใจ แล้วค่อยขยับไปอ่านข่าวในหมวดอื่นๆ จนในที่สุดก็จะได้รับรู้ข่าวสารทุกหมวดหมู่อย่างครบถ้วน และไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปในการสนทนา หรือการทำงานที่ต้องอาศัยข้อมูลในด้านอื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้ชอบ
อีกกลยุทธ์คือ พยายามมองสิ่งต่างๆ รอบตัวและใช้สมองในการคิดให้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ในทุกๆ กิจกรรมประจำวัน เช่น เมื่อนั่งรถไปเรียนหรือไปทำงาน ก็ลองมองสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น สังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามสิ่งก่อสร้าง ข้อความบนป้ายโฆษณา ผู้คนที่เดินไปเดินมา แล้วคิดถึงสิ่งที่มองเห็นให้ลึกลงไป เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการฝึกสมองให้ได้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้แนวคิดใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการทำงาน หรือเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในบางครั้งที่กำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ก็ตาม การมองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวและนำมาคิดก็อาจจะนำมาซึ่งหนทางแก้ไขปัญหาที่คิดไม่ตกนั้นก็ได้

5. ท่านคาดว่าจะได้รับเกรดอะไร จงให้เหตุผลอย่างละเอียด
ผมคาดว่าจะได้รับเกรด A เพราะผมเข้าเรียนวิชานี้ทุกครั้ง และในชั้นเรียนก็ให้ความสนใจในบทเรียนตลอดเวลา และพยายามมีส่วนร่วมในการตอบคำถามและเสนอความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอ ในกิจกรรมกลุ่มก็มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดใหม่ๆ และแม้จะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็มักจะอาสาเป็นตัวแทนออกไปนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนบ่อยๆ การบ้านก็ทำเสร็จสมบูรณ์และส่งในเวลาทุกครั้ง รวมทั้งเขียน Blog ตามที่กำหนดครบถ้วนทุกสัปดาห์ สำหรับโครงงานเดี่ยวผมก็ทุ่มเทใช้เวลาในการทำนานมากเพราะเป็นสิ่งที่ผมชอบและตั้งใจจะทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในโครงงานกลุ่มผมก็มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการทำ ตั้งแต่เสนอความแนวคิดจนถึงลงมือปฏิบัติให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ผมคิดว่าผมได้แสดงออกถึงความตั้งใจ เอาใจใส่ และทุ่มเทอย่างเต็มที่ในทุกๆ องค์ประกอบของการเรียนวิชานี้ จึงคิดว่าน่าจะได้เกรด A

6. ถ้ามีวิชา Innovative Thinking II ท่านต้องการเรียนเนื้อหาอะไร
ผมอยากให้มีการสอนเกี่ยวกับงานออกแบบที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะศาสตร์ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือวรรณกรรมวิทยาศาสตร์เท่านั้น อาจจะเป็นด้านศิลปะ สื่อสิ่งพิมพ์ นิยาย โฆษณา ดนตรี และอื่นๆ อะไรก็ได้ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักบูรณาการแนวคิดจากศาสตร์หลายๆ แขนงมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังแนะนำให้จัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ให้บ่อยยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้บรรยากาศในการเรียนเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง และมีความน่าตื่นเต้นและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น

7. ถ้าท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ท่านจะตั้งคำถามอะไรและจะตอบอย่างไร
คำถาม: ถ้าในการเรียนการสอน เปลี่ยนการฝึก Juggling เป็นการฝึกของเล่นเสริมทักษะชนิดอื่น ท่านคิดว่าควรจะเปลี่ยนเป็นอะไร
คำตอบ: ผมคิดว่าน่าจะให้ผู้เรียนลองฝึกควงปากกา เนื่องจากสามารถหาปากกามาฝึกได้เลยโดยไม่ต้องไปซื้อ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เรียนนำไปใช้จริงได้บ่อยกว่า เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีปากกาก็สามารถจะฝึกได้ ผมจึงคิดว่าผู้เรียนจะได้มีโอกาสฝึกฝนได้บ่อยครั้งกว่า รวมถึงประหยัดและง่ายกว่าอีกด้วย หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกพับเครื่องบินกระดาษให้ลอยอยู่ในอากาศให้ได้นานที่สุด เป็นกิจกรรมที่นำเอาองค์ความรู้ทางวิศวกรรมมาใช้ได้จริง สำหรับผมแล้วคิดว่านี่เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก

But that's not the shape of my heart.

ผ่านไปแล้วกับการเรียน Innovative Thinking ครั้งสุดท้าย...

อาจารย์เล่าประสบการณ์การไปเข้าร่วมการบรรยายของคุณ Tony Robbins ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้จักอยู่แล้วตามสไตล์ แต่มีแว่บนึงที่เห็นโปสเตอร์ของงานจากรูปถ่ายของอาจารย์ก็เริ่มระลึกชาติได้ เห้ย! เราเคยเห็นตานี่นี่หว่า ใช่แล้วๆ เค้าเคยเล่นหนังเรื่อง Shallow Hal เล่นเป็นตัวเอง คือเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังอะ ทีนี้พระเอกของเราซึ่งก็คือ Jack Black มันไปฟังบรรยายของเขา ก็เลยประมาณว่าถูกล้างสมองหน่อยนึง มองอะไรเปลี่ยนไปหมดคือมองคนที่ภายใน คนไหนหน้าตาดีแต่นิสัยแย่ พระเอกเราก็จะเห็นเป็นหน้าตาเห่ยไป แต่ถ้าคนไหนจิตใจดี ถึงจะหน้าแน่ก็จะเห็นว่าหน้าตาดี เรื่องมีอยู่ว่าพระเอกไปตกหลุมรักสาวสวยมากๆ คนนึงเข้า แต่ความจริงแล้วเธอคนนั้นอ้วนเป็นตุ่มแตกเลยล่ะ แล้วถ้าเกิดพระเอกหายจากการถูกล้างสมองของคุณร็อบบินส์แล้วเขาจะยังหลงรักนางเอกตามรูปร่างหน้าตาจริงๆ มั๊ยหนอ... พล่ามยาวมาก แต่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลย บรรยากาศในงานที่อาจารย์เอามาให้ดูก็น่าสนใจดี ดูไม่เหมือนงานสัมมนาทั่วๆ ไป เพราะทุกคนดูแอคทีฟกันมากมาย มีกอดกัน เต้นตามเพลงเลดี้กาก้า และอื่นๆ ครื้นเครงมากมาย ทีเด็ดคือการละเล่นนารีลุยไฟ ชาบูๆ กันสนุกสนาน ...ซะที่ไหนล่ะ นี่เป็นการฝึกให้เผชิญหน้าความกลัวต่างหากล่ะ เพราะทุกคนต้องถอดรองเท้าเดินข้ามถ่านร้อนๆ ซึ่งฟังดูน่าสยดสยองเล็กน้อย แต่ก็ดูจะผ่านกันไปได้ดี ขำที่อาจารย์ธงชัยบอกว่าแม่ม! โคตรร้อน อารามรีบเดินจนลืมท่องอะไรที่เค้าสอนมาหมดเลย

หัวข้อการเรียนครั้งสุดท้ายก็คือการก้าวข้ามกับดักของผู้เชี่ยวชาญ ประโยคที่สรุปใจความการเรียนเรื่องนี้ได้ดีก็คือ "In beginner's mind there are many possibilities. In expert's mind there are only few." ก็หมายความว่ายิ่งเรารู้มากเท่าไร เราก็ยิ่งตีกรอบตัวเองด้วยความรู้เหล่านั้นมากขึ้น เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ด้วยความรู้ที่เรามี ฟังดูน่าเศร้าแต่มันก็ไม่ใช่สัจนิรันดร์หรอก เพียงแต่เราลองเปิดใจให้มากขึ้น แบบที่เค้าบอกว่าให้ทำใจให้คิดแบบเด็ก และทำสมองให้คิดแบบผู้ใหญ่ คือมีจิตใจสดใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและมองโลกด้วยความใคร่รู้แบบเด็ก แต่มีสมองอันเฉียบแหลมและไตร่ตรองตามความเป็นจริงแบบผู้ใหญ่ เท่านี้ข้อจำกัดต่างๆ ก็จะหมดไป

อย่างหนึ่งที่เราชอบมากในคาบนี้ก็คือลิฟท์อวกาศ แบบว่า ว้าว! ช่วยทำให้เสร็จเร็วๆ เลยนะ อยากขึ้นไปมากๆ เป็นไอเดียที่ดีจริงๆ มนุษย์เรานี่เก่งได้อีก

ส่งท้ายด้วยเกมไพ่อันสนุกสนาน เป็น Personality Card Game ที่ให้เราเลือกไพ่ที่มีคำบรรยายตรงกับตัวเราที่สุด เพื่อประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน ซึ่งเราได้สีแดงล้วนเลยอะ มีทั้ง Creative, Empathetic, Good Listener, Needy และ Relationship Oriented ซึ่งส่วนมากเป็นดอกหัวใจ เกี่ยวกับการดีลกับคนรอบข้าง ดีลกับอารมณ์ความรู้สึกซะเยอะ ก็แน่ล่ะเราโง่เรื่องคิดๆ จัดการหาคำตอบ แล้วก็ทำงานเป็นระบบจะตายไป อาจารย์บอกว่าในการทำงานในแต่ละกลุ่มควรมีความสมดุลของคนทุกๆ แบบ เพราะคนที่เราไม่ชอบที่สุดอาจจะเป็นคนที่เราต้องการที่สุดก็ได้นะ

จบแล้วจ้า...

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

I lost a friend.

เพื่อนของเราคนหนึ่งเสียชีวิต...

เมื่อเช้าตอนกำลังนั่งเรียนพาราเลล พี่จ๋าโทรศัพท์มาแจ้งข่าวร้ายนี้กับเรา พี่จ๋าบอกว่าพี่เปียเสียแล้ว วูบแรกตอนนั้นในหัวเราคือ เห้ย! บ้าเหอะ ไม่เชื่อ ตอนนั้นพี่จ๋าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวนี้จริงหรือเปล่า อย่างน้อยเราสองคนก็เลือกที่จะไม่เชื่อแบบนั้น แต่แล้วมันก็คือความจริง พี่เปียจากไปแล้วจริงๆ ด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ที่หาดใหญ่บ้านเกิดของพี่เขา เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

เรารู้จักพี่เปียตอนไปเวิร์คตอนปี 1 เราสนิทสนมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ พี่เปียเป็นหนึ่งในไม่กี่คนตั้งแต่เราเคยพบมาที่ดูดีออกมาจากภายในอย่างแท้จริง ไร้หน้ากาก ไร้การเสแสร้ง มีเพียงความใสซื่อสะท้อนออกมาจากจิตใจอันบริสุทธิ์ พี่เปียพูดจาเนิบนาบ มีรอยยิ้มที่น่ารักบนใบหน้าเสมอๆ และเป็นคนอบอุ่นที่ทำให้ทุกๆ คนรู้สึกสบายเมื่ออยู่ด้วย จำได้ว่าเวลาเราหลงๆ ลืมๆ หรือมีเรื่องอะไรเดือดร้อน พี่เปียจะเป็นคนที่ห่วงใยในปัญหาของเราอย่างจริงจัง และเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรามากที่สุดคนหนึ่ง

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราเพิ่งไปร่วมแสดงความยินดีที่พี่เปียสำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การโอบกอดกัน ถ้อยคำแสดงความยินดี ถ้อยคำขอบคุณ และรอยยิ้มน่ารักอันคุ้นเคยของบัณฑิตใหม่ในกล้องถ่ายรูปของเรา ไม่นึกเลยว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่เราจะได้เห็น และคำร่ำลาในวันนั้นจะกลายเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย

สวรรค์คงมีงานล้นมือจริงๆ ถึงได้พรากพี่เปียไปจากพวกเราเร็วขนาดนี้ โลกคงจะเป็นที่ที่น่าอยู่น้อยลงในวันนี้เมื่อมีคนดีๆ อีกหนึ่งคนต้องจากไป และสวรรค์คงจะเป็นที่ที่น่าอยู่ขึ้นเมื่อได้มีโอกาสต้อนรับนางฟ้าคนใหม่ผู้มีจิตใจแสนงดงามคนนี้

หลับให้สบายนะครับ พี่เปีย

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

50 (?) สุดยอดเพลงในวัยเรา

โครงงานเดี่ยวของเรานี่คิดการ (ต้องมี "ณ์" มั๊ยอะ) ใหญ่ไปหน่อย เพราะจะทำ Scrapbook รวบรวม 50 เพลงที่คนอายุอย่างเราๆ น่าจะรู้จัก แต่ถ้าไม่รู้จักก็ควรเสด็จไปหามาฟังให้เป็นบุญรูหู ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้คัดแต่เพลงดัง เพลงฮิตเท่านั้น ปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลยต้องเป็นเพลงที่ดีด้วยนะ คำว่า "ดี" เนี่ยก็แตกต่างกันไปตามบรรทัดฐานของแต่ละคนอีก แต่เราทำเองก็ต้องใช้บรรทัดฐานเราสิ สรุปว่าว่าเป็นการรวบรวม 50 (จะถึงหรือเปล่าหนอ) เพลงที่ดังและเราว่าดีนั่นเอง ใครไม่เห็นด้วยก็อย่าอ่าน หาได้แคร์ไม่ 555+

ก่อนอื่นเพื่อให้เข้าธรรมเนียมรายการหนูทำได้ น้องบีมก็ต้องขอแนะนำอุปกรณ์ที่ใช้ก่อนนะฮับ เลี่ยนเนอะ เขียนเหมือนเดิมดีกว่า ก็จะมีสมุดที่ซื้อมา กระด่งกระดาษขาวมั่งสีมั่งที่หาได้ตามอัตภาพ และทาดาห์! ที่ตัดกระดาษไฮโซที่ได้รับอุปการคุณจากเนย ขอบคุณมากๆ นะจ๊ะ เอ้อ! แล้วก็อย่าลืมกาวด้วยนะ

ส่วนอันนี้เป็นลิสต์เพลงที่เราทำมาอาทิตย์นึงได้ละ (ยังไม่ลงตัวซะทีซะงั้น) ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยเสนอเพลงเข้ามา บางเพลงเราอาจไม่เอา ไม่ใช่เพราะเราไม่ใส่ใจนะ ความจริงคือ... เราก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ อะแหละ (อย่ามองค้อน รู้นะว่าไม่พอใจ อิอิ)

ตัวอย่างหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะเป็นอย่างนี้เด้อขรั่บเด้อ...

ที่เลือกทำอันนี้ก็เพราะว่าปกติเราชอบฟังเพลงมากๆ ทั้งไทย ญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง แต่จะเน้นเพลงฝรั่ง ดูใน blog นี้ก็น่าจะพอรู้อะนะ แล้วก็ชอบเขียนรีวิว วิจารณ์ หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก ก็แบบสมัครเล่นอะนะ สนุกๆ ขำๆ เพราะเราไม่มีความรู้ด้านดนตรีอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าชอบฟัง ชอบตีความเท่านั้นเอง ก็หวังว่าคนที่หลงมาอ่านจะพอเข้าใจนะว่าเราต้องการจะสื่ออะไรออกไป

TCDC

วิชา Innovative Thinking คราวนี้ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ TCDC หรือศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบที่ชั้น 6 เอ็มโพเรียม ดูหรูหราไฮโซมากกว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย มาถึงแล้วไม่รอช้าก็เข้าไปชมนิทรรศการส่วนแรกก่อนเลย เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับงานออกแบบของชาติต่างๆ นั่นเอง ตั้งแต่แก้วที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากฟยอร์ดโดยชาวฟินแลนด์ เก้าอี้สีสันสดใสโดยนักออกแบบชาวบราซิล สูทผู้หญิงของโคโค่ ชาแนลที่ปฏิวัติวงการแฟชั่นในฝรั่งเศส หรือว่าจะเป็นเก้าอี้หลอกตาที่เมื่อตั้งอยู่เฉยๆ ก็ดูเหมือนจะนั่งไม่ได้ แต่พอลองหย่อนก้นปุ๊บก็ ว้อลล่า! ยุบลงไปเลย ฮูเร่!

ตามที่คาดหมาย อาจารย์ก็มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกตามเคย คราวนี้โจทย์มีอยู่ว่าสมมติโลกเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ มนุษยชาติในปัจจุบันสูญสิ้นไปหมด เหลือแต่มนุษย์ยุคใหม่แล้วตอนนี้ ให้ลองจินตนาการว่าสถานที่สำคัญต่างๆ ในยุคนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าจะต้องลบขนบเก่าๆ ไปให้หมด ไม่มีข้อจำกัดทางสังคมใดๆ ทั้งนั้น ซึ่งกลุ่มเราก็ได้สถานีตำรวจล่ะ จะออกมาแบบไหนหนอ

ว่าแล้วก็ออกไปหาข้อมูลจากทั้งในห้องสมุดและนิทรรศการส่วนที่สองซึ่งผัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามช่วงเวลา ซึ่งตอนนี้เป็นนิทรรศการปล่อยแสงที่ให้นักออกแบบจากทั่วประเทศมาจัดแสดงผลงานกันตามชอบใจ มีอยู่อันแบบว่าเจ๋งมากเลย เป็นกระดาษที่ตัดไว้แปลกๆ ดูไม่รู้เรื่องว่าคืออะไร แต่พอเปิดไฟที่ส่องจากด้านบนดู มันก็จะเกิดเงาเป็นรูปขึ้นมาล่ะ อย่างอันนี้ก็เป็นรูปพระพิฆเนศ สุดยอดจริงๆ (แต่มิได้นำพาเพราะไม่ได้เอามาใช้อะไรกับสถานีตำรวจหรอก แค่เอามาให้ดูเพราะเจ๋งดี ...อ้าว! ลืมหมุนรูปให้อะ หมุนหัวตามเอาเองนะ)

แล้วก็ถึงเวลานำเสนอ สถานีตำรวจออกแบบให้ลอยน้ำได้เพราะตอนนั้นน้ำคงจะท่วมโลกไปเยอะอยู่ ตำรวจก็ใส่ชุดว่ายน้ำไว้ข้างในเพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลา แถมนั่งบานาน่าโบ๊ตซะด้วยนะ เก๋เกิ๊น ส่วนนักโทษจะถูกขังในคุกใต้น้ำ และต้องใส่ชุดราตรีให้กรุยกรายเข้าไว้ จะได้หนียากๆ เพราะชุดมันหนักจนได้จมน้ำตายก่อน และไอเดียอื่นๆ อีกมากมายยากจะสาธยายหมด แต่จะบอกว่าเป็นการพรีเซนต์ที่มันส์มาก เราได้ออกไปพูดคู่กับป๋าบอลล่ะ สนุกสนานมากมายยังกะมายืนคุยเล่นกับเพื่อนหน้าชั้นเรียน แบบว่าไม่มีบทเลย คิดอะไรได้ก็พูด เดี๋ยวกำลังว่าจะไปตั้งคณะตลก ประมาณว่าเล่นเองขำเอง มีความสุขกันตามประสา

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

My Chilling Birthday

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอาจารย์มาสอนไม่ได้ บอกแค่ว่าจะมีเกมให้เล่นสนุกๆ ปรากฎว่าเป็นเกม 20 คำถามซึ่งสนุกจริงๆ ว่ะ เล่นแล้วมันเพลินมากมายอะ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าคำถามถามว่าอะไรมั่ง แต่ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์จำลองแปลกๆ แล้วให้คนในกลุ่มเดาว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยรุมถามคำถามแบบใช่หรือไม่ใช่กับอีกคนในกลุ่มที่รู้คำตอบ รู้แต่ว่าเพลินมาก เล่นๆ ไปอ้าว! จบซะแล้ว เหอๆ

จะเขียนแค่นี้ก็สั้นไปหน่อย ใจจริงอยากจะเขียนเกี่ยวกับเด๊กซ์เตอร์อีก เมื่อวันเสาร์นั่งดูไป 4 ตอนจนถึงกับเก็บไปฝัน แต่ว่าคงไม่มีใครรู้เรื่องเพราะมีเราบ้าดูอยู่คนเดียว 555+ ดูจบหมดสต็อก 3 ซีซั่นแล้ว สนุกมากมายเหอะ มันจะสร้างปีละหลายๆ ซีซั่นไม่ได้เหรอ แง้! นี่ต้องรอยันปลายเดือนดูตอน Pilot ของซีซั่น 4 พร้อมที่อเมริกาไปเลยนู่นแน่ะ อีกตั้งนานอ่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวดูซ้ำของเก่าเก็บรายละเอียดอีกรอบก็ได้ (บ้าไปแล้วกรู)

ระหว่างนี้เปลี่ยนอารมณ์คลั่งฆาตกรโรคจิตมาฟังเพลงมั่งดีกว่า ช่วงนี้แวดวงเพลงซบเซาเหลือเกิน ไม่มีอะไรน่าสนใจออกมาสักเท่าไหร่เลยตั้งแต่แจ๊คโก้เสีย แต่วันนึงตอนขับรถกลับบ้านได้ฟังเพลง My Bloody Valentine ของทาทา จริงๆ เคยเห็นเสียงชื่นชมมากมายจากในเนตมาบ้างแล้วกับเพลงนี้ แต่ได้พอฟังเอง เห้ย! นี่มันทาทาเหรอฟะ เห้ย! ฝรั่งโคตรๆ อะ สุโค่ย! ชีทำได้จริงๆ เพลงดีมาก ดีแบบใครได้ไปร้องมีแต่เกิดกับเกิด ฟังวนหกสิบรอบยังไม่เบื่อเลยอะ มันเรื่อยๆ ดี นี่เห็นจะโปรโมตที่อังกฤษก็หวังว่าชีจะดังเสียที ลุ้นกับยัยอูให้ดังก็ลุ้นไม่ขึ้นเลย เพราะถึงรายนั้นเพลงจะดีแต่แม่เอาแต่ชิวไม่ยอมเดินสายโปรโมต เข้าใจว่ามีเงินเยนเยอะรวยแล้ว คราวนี้ขอเชียร์คนไทยมั่ง ก็ของเขาดีจริงๆ ลองฟังดิ

So Random!

Random Stimulation เป็นอีกกลยุทธ์ในการได้มาซึ่งความคิดอันแปลกใหม่ เริ่มจากกำหนดปัญหา เลือกคำนามขึ้นมาสักคำแต่ต้องห้ามเปลี่ยนนะ จากนั้นก็หาแนวคิดจากคำนั้นมาประยุกต์กับปัญหาเพื่อให้ได้ไอเดียเยอะๆ กิจกรรมในการเรียนครั้งนี้จึงเป็นการสุ่มหาคำนามจากหนังสือที่แต่ละคนนำมา สิ่งที่เราคิดได้ก็ช่าง... เก๋ไก๋หาใดเปรียบจริงตั้งแต่บริการโทรศัพท์มือถือแบบใหม่ กับคำว่า "การดำนา" ทำให้ได้ความคิดที่ว่าลูกค้าที่โทรกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดก็โทรฟรีไปเล้ย ...นี่ ไปยันเกมออนไลน์แบบใหม่กับคำว่า "นกพิราบ" ที่ได้ความคิดว่าให้มีเกมออนไลน์ที่เล่นกันเองในหมู่ผู้โดยสารเครื่องบินแล้วกัน ...คิดไปได้นะเรา

Creativity is all about connecting things. ฟังดูแล้วก็จริงนะ ความคิดน่ะมันเกิดมาได้เพราะมีคนคิดมาก่อนแล้วล่ะ แต่การผสมผสานมันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นนี่แหละที่ต้องอาศัยความสามารถอีกระดับหนึ่ง ...ความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง

การหามุมมองที่หลากหลายทำได้โดยการระดมสมอง และการคิดแบบ 6 หมวก การระดมสมองหรือ Brainstorming คิดค้นโดย Alex Osborn นักโฆษณาชาวอเมริกา โดยมีกฎหลักๆ ว่าการระดมสมองในกลุ่มคนหลายๆ คนแต่ละครั้งจะต้องมีอิสระ ไอเดียที่ยิ่งแปลกก็นับว่ายิ่งดี ห้ามวิจารณ์กันและกัน และสำคัญที่ปริมาณไอเดียที่ได้ ยิ่งเยอะยิ่งเวิร์ค อาจารย์เปิดวีดีโอของทีมออกแบบรถเข็นชอปปิ้งรุ่นใหม่จาก IDEO วิธีการทำงานของเขาดูกระตือรือร้นกันดีแถมผลลัพธ์ก็ว้าว! คิดได้อะ เป็นรถเข็นที่แจ่มจริงๆ ส่วนการคิดแบบหมวก 6 ใบซึ่งได้แก่หมวกสีขาว ขำ แดง เหลือง เขียว และน้ำเงินก็จะทำให้เราได้ลองสวมวิญญาณของบุคลิกหลายๆ อย่างในแต่ละบุคคล ไล่เรียงไอเดียออกมาตามสีของหมวกที่ใส่ตอนนั้น ก็จะได้ไอเดียออกมาเพียบไว้ให้ใช้สอยแถมยังเป็นไอเดียที่มีแง่มุมต่างกันไม่ซ้ำซาก

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลิฟท์ค้าง

วันนี้ตอนกำลังจะขึ้นไปเรียน SE ปรากฎว่าไฟดับ ลิฟท์ก็เลยค้างจ้ะ ในลิฟท์มีเราและเพื่อนๆ แล้วก็มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งกับพี่ๆ TA อีก 2-3 คน ระหว่างที่ค้างเพื่อนๆ ก็ไม่มีทีท่าตื่นตระหนกกันเลย คุยกันขำขันโดยมีคนที่ยืนรอลิฟท์อยู่ร่วมวงหัวเราะเฮฮาผ่านอินเตอร์คอม ส่วนเราตอนนั้นยอมรับว่ากลัวอะ รู้ตัวก็วันนี้ว่ากลัวที่แคบ ยิ่งติดอยู่ในกล่องเล็กๆ คนแน่นๆ อากาศน้อยแถมยังมืดอีก ก็เลยแอบพานิคเล็กๆ แต่แล้วก็ผ่านไปด้วยดี สิริรวมเวลาไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ ออกมาจากลิฟท์มีคนปรบมือให้อีกต่างหาก เพื่อนๆ ออกมายังคุยกันต่อว่าเย็นนี้ทุกคนจะเอาเรื่องนี้มาเขียน blog กันเถอะ 555+

ป.ล. ตอนนี้เรากำลังติดเด๊กซ์เตอร์สุดฤทธิ์ ซีซั่นแรกว่ามันส์แล้ว ถึงซีซั่น 2 นี่ตายไปเลย ดีกรีความสนานพุ่งปรี๊ดปรอทแตกกระจาย ไอ้เด๊กซ์เตอร์ในซีซั่น 2 นี่บอกได้คำเดียวว่ามันทำตัว แร๊งง์ แรงมาก เพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากเป็นโรคติดต่อเดียวกันกรุณาแจ้งความจำนง ณ ที่นี้ ข้าพเจ้าจะฝึกไรท์ดีวีดีจัดส่งให้เป็นการด่วน (แอบโฆษณาชวนเชื่อประหนึ่งโครงข่ายแอมเวย์) ระหว่างนี้ขอเชิญชมคลิปซีนโปรดของเรา สาบานได้ว่านี่มันพระเอกนะ แรงได้อีก

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แพร่ง

Innovative Thinking คราวนี้เรียนเกี่ยวกับกลยุทธ์ใหม่คือการเชื่อมโยงอย่างอิสระ

แพร่งความคิด (Intersection) คือศาสตร์ความรู้หลายๆ อย่างที่เอามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำให้เกิดความคิดผสมผสาน (Intersectional Idea) ซึ่งนำไปใช้แก้ปัญหาต่างๆ หรือสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างที่อาจารย์ยกให้เราดูก็เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Dune ของ Frank Herbert ผู้มีความรู้หลายศาสตร์ เคยทำงานหลากหลายอาชีพ จึงสร้างผลงานภาพยนตร์ไซไฟที่ผสมผสานเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ เพลง Turbular Bells โดย Mike Oldfield ที่เป็นนวัตกรรมทางดนตรีในยุคนั้นที่นำดนตรีร็อคมาผสมผสานกับดนตรีคลาสสิค ออกมาหลอนจนนำไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง Exorcist ที่ว่ากันว่าเป็นภาพยนตร์ที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว (แต่ตอนในคาบเรียน ฉากสะพานโค้งลงบันไดอันเลื่องชื่อกลับเรียกเสียงฮาซะงั้น 555+)

อย่างไรก็ตามการเชื่อมโยงความคิดอาจถูกจำกัดโดยสิ่งกีดขวางบางประการ ซึ่งก็มีวิธีกำจัดได้ง่ายๆ ได้แก่ พูดคุยกับคนนอกศาสตร์ ทำกิจกรรมอื่นๆ อุปมาอุปไมย และการกระตุ้นอย่างสุ่ม

อ้อ! อาจารย์ธงชัยยังบอกอีกว่า คนเก่งจะชอบทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เหมือนที่ไอน์สไตน์เคยพูดไว้เลยว่า เราจะไม่มีทางเข้าใจเรื่องบางเรื่องดีจนกว่าเราจะสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้ด้วยข้อความง่ายๆ

2 วิทยากร

การเรียนครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากร 2 ท่านมาบรรยายข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่นิสิต

ท่านแรกคือคุณศณพงษ์ ธงไชย ผู้ก่อตั้งองค์กรนักประดิษฐ์ไทย บรรยายเกี่ยวกับนวัตกรรมต่างๆ ตั้งแต่ความก้าวหน้าของมนุษย์ในการสำรวจอวกาศ ไปจนถึงนวัตกรรมสังคมไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ เกม หรือโครงการต่างๆ ที่ล้วนสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ท่านให้พวกเราลองนึกว่าถ้าเกิดมีโอกาสประดิษฐ์นวัตกรรมสังคมขึ้นสักชิ้นเราจะทำอะไร ซึ่งนึกไม่ออกเลยอะ 555+

นอกจากนี้ท่านยังได้นำผลงานต่างๆ มาแสดงทั้งเกมบันไดงูช่วยจำชื่อถนน พริกไทยดำ ลำไยฉีดน้ำเกลือที่กินแล้วไม่ร้อนใน แต่ที่เด็ดสุดคือเม็ดมะรุม กินแล้วโอว์... ซี้ดดด หวานติดปากเลย ดื่มน้ำตามไปทั้งขวดก็ยังไม่หาย ของเขาแรงจริงๆ

อีกท่านคือคุณพลศักดิ์ ปิยะทัต เจ้าของธุรกิจเครื่องฟอกอากาศ Alpine ผู้ประสบความสำเร็จอย่างมากจากแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร เช่น การปั๊มผลเสิร์ชให้เวบของตัวเองขึ้นที่หนึ่งใน Google เป็นต้น ที่เราเห็นด้วยมากๆ คือที่ท่านพูดว่าพอคนไทยได้ยินว่าผลิตภัณฑ์นี้ผลิตในประเทศไทยก็จะไม่สนใจทันที เพราะคนไทยมีค่านิยมชื่นชอบของนอกและหมกมุ่นกับคำว่า "นำเข้า" มากเกินไป ทำให้ธุรกิจไทยไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

เรียนจบคาบแล้ว ยังหวานติดปากอยู่เลย...

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Dexter


ป่านนี้เพื่อนๆ คงรู้กันหมดแล้วนะว่าเรากำลังบ้าซีรี่ย์สเรื่องนี้มาก เพราะแน่นอนว่าเวลาเราบ้าอะไรเรามักจะป่าวประกาศให้ชาวบ้านเขารู้กันอยู่แล้ว 555+


Dexter เล่าเรื่องราวของเด๊กซ์เตอร์ มอร์แกน ชายหนุ่มผู้ทำงานเป็นนักวิเคราะห์การกระจายตัวของเลือดในที่เกิดเหตุให้กับตำรวจในไมอามี่ เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีของเด๊บ ตำรวจสาวที่ทำงานที่เดียวกับเขา เขาทำหน้าที่เป็นแฟนหนุ่มที่ดีของริต้า แม่ม่ายสาวลูกติดผู้มีอดีตอันขมขื่น เขาเป็นที่รักของเพื่อนๆ ทุกคนที่ทำงาน แต่ไม่มีใครล่วงรู้ความลับอันดำมืดของเขา แท้จริงแล้วในยามกลางคืนเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องผู้ไล่ฆ่าเหล่าอาชญากรที่กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้


อ่านอย่างนี้แล้วคงรู้ว่าไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนดีอะไร เขาไม่ใช่ฮีโร่ แต่เขาเป็นพระเอกของเรื่อง คาแรคเตอร์ของเด๊กซ์เตอร์นั้นน่าสนใจมากๆ ตรงที่เป็นพระเอกในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เราการันตีเลยว่าระหว่างที่ดูแทนที่เราจะลุ้นว่าตำรวจจะตามจับเด๊กซ์เตอร์ได้มั๊ย กลับกลายเป็นว่าเราต้องเอาใจช่วยเด๊กซ์เตอร์ให้อยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่ถูกจับซะก่อน สไตล์การเล่าเรื่องเองก็มีส่วนช่วยในการขัดเกลาคาแรคเตอร์ตัวนี้พอสมควรเลย คนดูจะมองทุกอย่างผ่านมุมมองของเด๊กซ์เตอร์ เราจะได้ยินเสียงความคิดของเขา (ซึ่งขอบอกว่าตลกและกวนตีนมาก) และอย่าเข้าใจผิดว่ามันเป็นซีรี่ย์สหฤโหดเลือดสาดปานนั้น คิดดูขนาดคนที่ดูหนังผีไม่ได้เพราะกลัวขี้หดตดหายอย่างเรายังดูได้เลย แต่เรื่องนี้อาจจะเต็มไปด้วยฉากเซ็กซ์โจ๋งครึ่มหรือคำผรุสวาท F word กระจายกันว่อนก็เท่านั้นเอง ความโหดที่ถูกลดลงไปถูกแทนที่ด้วยการเดินเรื่องรวดเร็วและน่าติดตามสุดๆ บวกกับดีกรีความตลกร้ายแบบเต็มสูบที่ดูแล้วเหมือนกำลังยิ้มทั้งๆ ที่มีเลือดเปื้อนหน้าอยู่ยังไงยังงั้น


อีกอย่างที่ชอบมากๆ คือนักแสดงนำ Michael C. Hall ผู้รับบทเป็นเด๊กซ์เตอร์คือเทพของแท้ บร๊ะเจ้าชัดๆ คือดูแล้วไม่คิดเลยว่าตานี่กำลังแสดงอยู่ เพราะบุคลิกท่าทางทุกอย่างคือเด๊กซ์เตอร์เลย ชีวิตจริงเขาคงจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องก็ได้มั้ง ก็เลยงงว่าจากที่แอบไปอ่านดูส่วนมากได้แต่เข้าชิงรางวัลนักแสดงชายทั้งเอมมี่ แสค ลูกโลกทองคำแต่ยังไม่เคยชนะซะที หวังว่าจะได้บ้างเร็วๆ นี้เพราะเราเชียร์สุดใจ


สุดท้ายนี้มีคลิปมาฝาก เป็นไตเติ้ลที่เปิดก่อนฉายซีรี่ย์สทุกตอน เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แต่อาจจะต้องอาศัยจินตนาการนิดๆ แล้วจะรู้สึกถึงความจิตเล็กๆ ของมัน ดูแล้วรู้เลยว่าไอ้เด๊กซ์เตอร์นี่มันฆาตกรชัดๆ




วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Today It is

ในที่สุดก็ถึงวันสอบจริง เห้อ... ไม่อยากจะเล่าเลยอะเพราะยิ่งคิดย้อนไปก็ยิ่งเจอโน่นเจอนี่ที่ทำผิด เซ็งมากๆ เลยอะอุตส่าห์ขยันอ่านอยู่หลายเดือน ถึงตอนสอบจริงจะพอควบคุมสติได้บ้างอะไรบ้าง แต่ก็ยังพลาดโน่นพลาดนี่เยอะแยะไปหมด เปปทีนก็อุตส่าห์ซื้อกินนะ เสียใจจัง...

สรุปว่าตอนนี้ขอไม่เล่าอะไรมากมายดีกว่าเพราะไม่อยากรื้อฟื้น ได้แต่รอผลไป ยังไงก็กลับไปแก้อะไรไม่ได้อยู่ดี ทำไมเวลาเราตั้งใจกับอะไรมากๆ แล้วต้องลงเอยอย่างนี้ทุกทีเลยสิน่า เอาเถอะๆ อย่าไปคิดมากเลย ยังไงก็สอบใหม่ได้ถ้าไม่พอใจ มีใครอยากจะพอสงเคราะห์เงินทุนมั๊ยจ๊ะ อิอิ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

1 Day Before ...

คาบนี้มาเรียนโดยตั้งใจว่าวันนี้จะไม่ขอหักโหมซ้อมจั๊กกลิ้งอย่างสัปดาห์ก่อนเพราะเล่นเอาช่วงล่างไร้สมรรถภาพไปเลย แถมวันรุ่งขึ้นยังต้องไป... อืงง์... สอบโทเฟลด้วย ตื่นเต้นๆๆๆ ปรากฎว่าอาจารย์ติดธุระมาสอนช้า ให้นิสิตซ้อมโยนจั๊กกลิ้งไปพลาง... แง้! แต่เอาวะเป็นไงเป็นกันก็เลยซ้อมไปตามอัตภาพ โชคดีคราวนี้ผลข้างเคียงไม่รุนแรงไม่งั้นมีหวังต้องเดินขาถ่างไปสอบ

การเรียนวันนี้ก็เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งก็คือการคิดนอกกรอบ ประเด็นคือจะคิดนอกกรอบได้ เราต้องรู้เสียก่อนว่าอะไรคือกรอบ นั่นก็คือทำตัวอยู่ในกรอบ ขวนขวายหาความรู้จนรู้ว่ากรอบสุดตรงไหน จากนั้นแหละจะติสต์แตกออกแนวตะเข็บชายแดนอะไรก็ตามสบาย วิธีเด็ดๆ อันหนึ่งคือการย้อนกลับสมมติฐาน ยกตัวอย่างเช่น อยากเปิดร้านอาหารที่แหวกแนวไม่ซ้ำใคร ก็เริ่มจากตั้งสมมติฐานเกี่ยวกีบร้านอาหาร อย่างร้านอาหารต้องมีพ่อครัว ลองย้อนกลับดูดิ ก็จะได้ว่าเราจะทำร้านอาหารที่ไม่มีพ่อครัวได้มั๊ย เช่น ร้านอาหารที่ให้ลูกค้าเอาอาหารมากินเอง เป็นต้น เด็ด!

พอบ่ายสามผลการประเมินจุดเด่นก็มาถึง จุดเด่น 5 ด้านของเราก็อืม... โอเคไม่ได้น่าประหลาดใจอะไรนัก ก็คือมีความสามารถในการรักและถูกรัก การชื่นชมในความงามและความเป็นเลิศ อารมณ์ขันและความขี้เล่น ความกตัญญู แล้วก็ความระมัดระวัง ความสุขุมและวิจารณญาณ ไม่มีอันไหนไม่ตรงนักหนานะ โดยรวมก็โอเคล่ะ...

เพราะว่าเรื่องของเรื่องคือ...

วันรุ่งขึ้นจะสอบโทเฟลแล้ววว!!!

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Introduction to Juggling

วันนี้เป็นการเรียนที่เหนื่อยมากกก นึกว่าไปเรียนพละมาให้ตายเหอะ แน่นอนว่าตามสัญญาอาจารย์ก็เริ่มสอนการโยนจั๊กกลิ้ง (เขียนทับศัพท์แล้วแอบน่าเกลียดนะ) โดยเริ่มโยนลูกเดียวให้คุ้นมือ แล้วค่อยโยน 2 ลูกไขว้นับหนึ่งสองอันนี้ยังพอชิวๆ ต่อมาก็ลุย 3 ลูกกันเลยซึ่งโอ้ว! ยากอะ ป่านนี้ยังไม่ค่อยได้เลย ระหว่างนี้เหมียวๆ ก็มาทำสัญญาใจแลกเปลี่ยนลูกจั๊กกลิ้งกับเราซึ่งเราก็เริ่มชินมือแล้ว ซึ่งก็ถือว่าดีนะเพราะลูกจั๊กกลิ้งเรามันเหม็นหยั่งกะซอสปาดหน้าปลาในแฮมเบอร์เกอร์ของแม็คกินมั่ง (ซึ่งเหมียวบอกว่าอร่อยจะตาย 555+) ยังไงก็เหอะประเด็นคือเมื่อยมากกก เพราะด้วยฝีมืออันแกร่งกล้าทำให้เราก้มๆ เงยๆ เก็บลูกไม่รู้กี่หน ปวดบั้นเอวจริงๆ ขาด้วย เมื่อยไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนนึกว่าติดหวัด 2009 เลย แต่ว่าก็สนุกดีถึงจะเริ่มโยนได้นิดหน่อย ขณะที่คนอื่นๆ ในห้องโยนเป็นกันเร็วมาก แต่นั่นแหละอย่าไปเปรียบกับคนอื่นสิเนอะ ก็แต่ละคนมีทักษะต่างกันบ้างอะไรบ้าง

การเรียนวันนี้อาจารย์ก็สอนเรื่องการคิดแบบตรงกันข้ามซึ่งอาจจะช่วยเราหาคำตอบของปัญหาได้อย่างเช่น อยากสัมภาษณ์งานได้ก็คิดว่าจะทำยังไงให้เขาไม่รับเราแทน อย่างตบหัวคนสัมภาษณ์อะไรงี้ ซึ่งเราไม่ทำอย่างนั้นซะก็สิ้นเรื่อง เป็นต้น แล้วก็หัดตั้งคำถามว่า What If? เช่นจะเกิดอะไรถ้ามนุษย์ต่างดาวมีจริงประมาณนี้ ก็จะทไห้ได้ไอเดียบรรเจิดใหม่ๆ ตามมามากมาย ซึ่งก็เป็นวิธีคิดของหนังฮอลลีวู้ดหลายๆ เรื่อง

นอกจากนี้ก็มีเซอร์ไพรส์คือมีการบันทึกเทปจาก TCDC ว้าว! ไฮโซ เพิ่งเคยได้ยินชื่อบริษัทนี้อะ แต่ของเขาน่าสนใจมากๆ เลยทั้งจัดกิจกรรมและนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์มากมายหลายรูปแบบ แถมพี่ๆ แต่ละคนที่มานี่หน้าตา ทรงผม เครื่องแต่งกายแนวได้อีก เข้ากับภาพลักษณ์ของบริษัทสุดๆ ปลาบปลื้มจนอยากไปสมัครงานที่นี่มั่ง จะได้ทำกิจกรรมสนุกๆ สวยๆ งามๆ แบบนี้เพื่อสังคม แถมยังได้ทำตัวแนวๆ แบบพี่ๆ เขาด้วย อิอิ

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หนีตามกาลิเลโอ


เพิ่งได้ดูเรื่องนี้มา ฮูเร่! สนุกดีนะ เราชอบมากๆ เลย ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็คือคนเดียวกับ Seasons Change นั่นแหละ ขี้เกียจจำว่าชื่ออะไร แต่จะบอกว่าตาคนนี้ทำหนังเรื่องไหนเป็นได้ตรงกับชีวิตเราช่วงนั้นพอดี อย่างตอนเรื่องแรกนั่นก็รู้สึกจะดูตอนปี 1 ซึ่งกำลังแซ้ดเล็กๆ ที่มาเรียนวิศวะ เนื้อเรื่องของพระเอกเรื่องนั้นมันช่างตรงสุดๆ พอมาเรื่องนี้ก่อนอื่นขอแนะนำว่าคนที่เคยไป Work & Travel ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เพราะความรู้สึกของการเป็นคนนอกในต่างแดน หรือพูดง่ายๆ คือเป็นกะเหรี่ยงนั่นเอง ในเรื่องนี้ช่างสื่อได้ดีเหลือเกิน (จริงๆ อาจไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอกแต่เผอิญไม่มีหนังเรื่องไหนที่นำเสนอด้านนี้เลย) พฤติกรรมของเด็กไทยอันลือเลื่องอย่างเช่นด่าฝรั่งต่อหน้าด้วยภาษาไทยเพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง หรือนิสัยภาคภูมิใจกับการได้ลักเล็กขโมยน้อยและไม่เคยมองว่ามันเป็นเรื่องผิดตรงไหน เราดูไปก็ได้แต่อุทานว่า ...ข้าก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว เอาเป็นว่าโดนมากมายขอบอก


เราอยากพูดถึงนักแสดงเรื่องนี้มาก เริ่มจากต่ายก่อนละกัน จะพูดว่าเล่นดีที่สุดในเรื่องก็คงจะไม่เกินจริงไปนัก เธอคนนี้สามารถจริงๆ ขอการันตี เพราะนอกจากบุคลิกจริงจะดูคล้ายๆ กับตัวละครแสนห่ามและหัวแข็งของเธอแล้ว ซีนอารมณ์ทุกอันก็แสดงได้ขาดลอย ซดน้ำตาโฮกๆ กินอิ่มละงานนี้ แววนักแสดงวัยรุ่นตัวแม่เริ่มจับสุดๆ ต่อมาก็เต้ย แลคโต๊ะ! น่ารักมาก แบบอภิมหาโศกวิโยคภัยมากจริงๆ อะ คือเหมือนไม่ได้แสดงเพราะเป็นคนแบบนั้นจริงๆ บ๊องๆ โก๊ะๆ แต่เจือกไม่หยุดน่ารักเลยซักวิอะ ไม่รู้จะบรรยายยังไงไปดูเอาเองละกัน แค่จะบอกว่าเห็นคาแรคเตอร์เต้ยแล้วนึกถึงเพื่อนหลายๆ คนที่เคยไปเวิร์คด้วยกัน นิสัยหลายคนเป็นแบบตัวละครนี้จริงๆ สุดท้ายก็เรย์ ก็อีกคนที่หยั่งกะไม่ได้แสดง คือติสท์แตกเป็นอาจิณอยู่แล้ว ก็เลยเห็นยังไงก็หยั่งงั้นแหละ


เรื่องนี้มีหลายซีนที่ประทับใจมาก เราชอบฉากที่เต้ยโดนตำรวจจับมาก คือดูแล้วมีอารมณ์ร่วมสุดๆ เพราะแอบมีประสบการณ์ตรงนิดนึง ตอนนั้นเด็กไทยถูกไล่ออกจากงานอะแล้วบรรยากาศมันแบบนี้เลย คือเราก็ได้แต่ยืนมองเพื่อนเซ็นเอกสารแล้วก็เดินออกไป อยากจะช่วยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ฝรั่งแถวนั้นมันก็ยืนมองแค่กะเหรี่ยงคนหนึ่งที่โดนไล่ออกจากงานอะ ความรู้สึกมันคอยย้ำว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเรา เราเป็นเพียงคนนอกในประเทศของเขาและไม่มีใครจะใส่ใจช่วยเหลืออะไรเราหรอก เหงาได้อีก อีกฉากที่แนวมากคือตอนที่สื่อสารในร้านขายยาด้วยทอล์คกิ้งดิกท์ ที่กดเสียง f*ck you ซ้ำๆ พร้อมกับกล้องที่แพนออกมาด้านนอกร้านนี่ฮาปนเศร้าสุดๆ อีกฉากไอเดียเจ๋งๆ ก็ตอนชูป้ายภาษาไทยบนถนนชองซาลิเซ่นั่นแหละ ช่างคิดแถมโรแมนติกดี นอกนั้นซีนอารมณ์ทั้งหลายที่ต่ายโซโล่เดี่ยว ก็เศร้าได้โล่ ยอมรับว่าอินอย่างแรง รวมถึงตอนที่เต้ยทำอะไรก็ตามบ้าบอคอแตก อยากจะบอกนะว่าขำมาก น่ารักตะพึดตะพือ และเหนือสิ่งอื่นใด เพลงแค่ได้คิดถึงของญารินดาในฉากจบ กรี๊ด! ยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดก็มีคนเล็งเห็นถึงความวิจิตรทุกกระเบียดนิ้วของเพลงนี้เสียที เข้ากั๊นเข้ากันกับฉากหลังของยุโรป และมิตรภาพอันงดงามของสองสาว


ก็ขอฝากให้ไปดูเรื่องนี้โดยเฉพาะคนที่เคยมีประสบการณ์เป็นกะเหรี่ยงในต่างแดน เรื่องนี้มันไม่สมบูรณ์แบบหรอก ข้อบอพร่องถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็เยอะแหละ แต่ความโดนใจมันบังตาไปหมดแล้ว เราชอบเรื่องนี้มากกว่า Seasons Change อยู่มากด้วยความที่มีธีมที่ทั้งแปลกและแตกต่าง บอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เหมือนใครซึ่งเป็นแง่มุมที่ช่วยเตือนสติใครหลายๆ คนได้ดีมาก สองสาวมีต้นเหตุในการเดินทางด้วยกันครั้งนี้แตกต่างกัน แต่เหมือนกันตรงที่ต่างก็เดินทางเพื่อพิสูจน์บางสิ่ง (ก็เลยเป็นที่มาของชื่อกาลิเลโอ) อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทั้งสองได้พิสูจน์ว่าแล้วเป็นสัจนิรันดร์ กลับเป็นมิตรภาพของเธอทั้งสองแทน


...จบซะเน่าเชียวกรู

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Dead Poets Society

สำหรับ blog นี้เราอยากจะกระแดะเขียนเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อหาอาจขาดๆ หายๆ เพราะนึกไว้ตั้งแต่ตอนดูจบใหม่ๆ โน่นเลยลืมเกือบหมดแล้ว มีสปอยล์นะแต่ก็นั่นแหละ ดูพร้อมกันหมดนี่เนอะ

I was so glad that after watching Dead Poets Society for a while it didn't come across as one of those 'Hey! I'm a new teacher with weird teaching technique who somehow manages to make my class win at something and y'all are gonna love me' movies. This film saved itself quite well from falling into that lame category thanks to high-degree drama towards its ending which I personally thought was the crucial factor to take this Academy-Award nominated movie to the next level. If certain graph were plotted to show changes of emotion along the length of the film, a steady line would be drawn from the start until the climax in its third quarter, the death of Neil, where every characters' emotion peaked and since then was literally one hell of a tear festival, when a graph would change into a crazy line like pulses of someone who has a heart attack.

Robin Williams as Mr. Keating was surprisingly subtle and fairly convincing. Considering it's a challenging role particularly for a comedian, so there's no wonder why he got nominated for Best Actor award, but frankly watching this movie, I couldn't care less about him because, you know, it's Robin Williams after all. The cast of students was good but I'm not gonna go through them one by one since I have no idea who these actors are, well, except Ethan Hawke, Uma Thurman's ex-husband who now looks like a random UK rock band's guitarist who's always on crack. His boyish look back then surprised me so hard but that's not so important as the story of his character, Todd, who I relate to the most. Yes, I used to be one of those quiet and introvert guys and I still am, so the scene when Todd was dragged by Mr. Keating to the front of the class to spontaneously come up with poems was undoubtedly my favortie scene and the best moment of the film so far. I'm not gonna lie that I was literally about to give him a big round of applause as if I were in that classroom in 1959.

Mr. Keating is no hero. I appreciate that the movie didn't make any judgement on him and I couldn't ask for the better ending than in which Mr. Keating felt regretful of what he might have influenced his students and was finally terminated from the school. It's such a heart-warming yet realistic ending that didn't spoil viewers with excessive daydreaming or fit in happily ever after cliche because there was something much more beautiful in this film than just a rainbow spewing. At least in this last goodbye not only the students learnt a great deal from their teacher but Mr. Keating himself also experienced the lesson of his lifetime from his 16-year-old students.

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หญิงก้า

หญิงก้าที่รัก

ชายเขียนถึงหญิงก้าหนนี้ด้วยความเป็นห่วง เห็นหน้าอกก้าระเบิดเป็นไฟเย็นครานั้นแล้ว ชายเป็นกังวลจนกินก็ไม่ได้นอน นอนก็ไม่ได้กิน ป่านนี้แผลพุพองคงทุเลาลงแล้ว หญิงก้าคงสบายดีใช่ไหมจ๊ะ ชายเพียรถามก็เพราะรัก หวังว่าก้าคงไม่ใส่ใจเป็นรำคาญ

ไม่นานนี้ชายเอาแต่ฟังบทเพลงของหญิงก้า ก้ารู้ไหมว่าคนทั้งบางเขาร่ำลือถึงชื่อเสียงของก้า ชายเองก็ได้แต่ปลื้มปีติเพราะชายเองก็ชื่นชอบผลงานของก้าเช่นกัน แผ่นเสียงของหญิงก้าแผ่นนี้บรรจุบทเพลงไพเราะเยอะแยะไปหมด ตั้งแต่บทเพลงโด่งดังอย่าง "ไม่ว่างกำลังเต้น - Just Dance" กับ "หน้าเป็นเล่นป๊อกเด้ง - Poker Face" ที่แม้ว่าจะฟังแล้วเหมือนกันเพียงไร แต่ต่างก็เป็นบทเพลงเต้นรำที่มีเอกลักษณ์ และกระตุ้นให้อยากลุกขึ้นมาดิ้นพล่านดีเสียจริง "เกมรักหักสวาท - Lovegame" นั้นเดินตามขนบบทเพลงเต้นรำอิเลกโทรนิกอย่างมิมีผิดเพี้ยน แต่มีท่อนสร้อยที่ฉลาดเฉลียวและตราตรึงใจยิ่งนัก "อุ๊ย อุ๊ย มิเอามิพูด - Eh Eh (Nothing Else I Can Say)" หรือก็แว่วสำเนียงคล้ายบทเพลงแบบที่คนขาวชาวยุโรปเขาชอบทำกัน ก้าเองก็ทำออกมาได้เสนาะหูไม่แพ้กันจ้ะ หรือกับบทเพลงที่จังหวะช้าลงพอให้ชายได้โยกอย่าง "ปัปรสี - Paparazzi" ก็ไพเราะฝังลึกลงในรูหูชายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบทเพลงชื่อเดียวกับแผ่นเสียง "ชื่อเสียง - The Fame" เสียงดีดกีตาร์ในเพลงนี้ถูกใจชายมาก หรือแม้แต่ "หนุ่มคิมหันต์ - Summerboy" ที่ชายได้ฟังแล้วรู้สึกราวกับหญิงก้าไปลอกเลียนศิลปินแม่ลูกอ่อนท่านหนึ่งมาอย่างไรก็อย่างนั้น แต่ชายก็ยังโปรดปรานในท่วงทำนองแบบสกากับบรรยากาศริมชายหาดยามอาทิตย์อัสดง และความไพเราะชั้นเลิศที่ยากจะปฏิเสธ

หญิงก้าจ๊ะ อย่างไรก็ดีชายยังคิดคำนึงว่าบทเพลงอื่นๆ ในแผ่นเสียงนี้ไม่เสนาะจิตเท่าที่ควรเลย คล้ายว่าก้าไม่มีเวลาทำแล้ว จึงต้องเอาเสียงในบทเพลงก่อนๆ มาตัดแปะรวมกันเป็นบทเพลงใหม่ ชายขอกล่าวอย่างจริงใจว่าบางบทเพลงนั้นช่างน่าเบื่อและน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกินจ้ะ

แผ่นเสียงชุด "ชื่อเสียง" ของหญิงก้าแผ่นนี้บอกกล่าววิถีชีวิตอันหรูหรา ฟุ่มเฟือย และสุรุยสุร่ายของชนชั้นผู้มีชื่อเสียงท่ามกลางวัฒนธรรมป๊อบและลัทธิวัตถุนิยมได้เห็นภาพชัดแจ้งยิ่งนัก สุดท้ายนี้ชายขอสารภาพว่าหลงรักก้าเข้าแล้ว ชายสัญญาว่าจะรักเล็กๆ แต่ขอรักนานๆ และจะตั้งตารอแผ่นเสียงใหม่ของก้านะจ๊ะ ระหว่างนี้ชายได้แนบรูปเครื่องแต่งกายของโลกหน้าที่หญิงก้าชอบสวมใส่ให้ปัปรสีรุมชักภาพ ให้ก้าดูเล่นยามว่างนะจ๊ะ

(ขอบคุณรูปภาพจากจัดเจร็ด - Just Jared)

รัก

ชายเอง

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

You shouldn't end a sentence with a preposition at.

เราดู 30 Rock แล้วขำกับประโยคนี้มาก

You shouldn't end a sentence with a preposition at.

แค่นี้แหละจบ ขำมั๊ยอะ จะมีใครเข้าใจเรามั๊ยเนี่ย

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ว๊ายวาย

Innovative Thinking คราวนี้มาเรียนต่อกลยุทธ์เดิมเรื่อง Attribute Listing อาจารย์ให้ทำกิจกรรมกลุ่มออกแบบมือถือสุดล้ำแล้วออกไปพรีเซนต์หน้าห้องโดยให้ลองนึกคุณสมบัติที่พึงมีของโทรศัพท์มือถือแล้วคิดหาไอเดียสุดแหวกตามคุณสมบัติข้อนั้นๆ กลุ่มเรามือถือหน้าตาออกมาเหมือนกระดูกหมา แถมดันวาดออกมาไม่เหมือนอีกกลายเป็น ...อะไรดีล่ะ ประมาณคอมฟอร์ทร้อยมั้ง 555+ ต้องออกไปพรีเซนต์กลุ่มแรกเลยตื่นเต้นดี ไม่ได้หน้าชั้นเรียนมานานแล้ว ได้ทำอะไรแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ต่อมาก็เรียนกลยุทธ์ที่สามซึ่งก็คือการตั้งคำถาม เราควรจะตั้งคำถามโดยใช้คำว่าโดยวิธีใดบ้าง มากกว่าจะใช้คำว่าอย่างไร เพราะความคิดจะได้ไม่ถูกจำกัดอยู่แค่อย่างเดียว นอกจากนี้ก็มีวิธีตั้งคำถามเชิงสร้างสรรค์หลากหลายแบบ เริ่มจาก Why-Why Analysis ซึ่ง ...อูว์ เราหลอน ตอนฝึกงานที่ฝึกงานเราเขาใช้ไอ้นี่ยันเลย แบบว่าเวลามีเครื่องจักรเสียก็จะมานั่งว๊ายวายกันนี่แหละ แต่ว่าจริงๆ เราก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวหรอก พวกภาคเครื่องน่าจะหลอนกว่าเพราะโดนเต็มๆ กิจกรรมต่อมาอาจารย์ก็เลยให้ลองทำว๊ายวายดูสักอัน เราเลือกทำหัวข้อว่าทำไมเราถึงเขียนโปรแกรมไม่เก่ง ไปๆ มาๆ คิดไม่ค่อยออกง่ะ ว๊ายวายออกมาเล็กๆ สั้นๆ ไปซะงั้น แต่เราว่าดีนะ อย่างเวลาคิดอะไรไม่ออก ถ้าลองทำว๊ายวายดูคงจะช่วยได้เยอะเลยล่ะเพราะว่าเจาะลึกต้นเหตุปัญหาถึงไส้ในเลย แหล่ม...

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Role Models

Do what you know best
Tina Fey

ทีน่า เฟย์ นักเขียนบทคอมเมดี้ชาวอเมริกันวัย 39 กะรัตผู้ประสบความสำเร็จในวงการโทรทัศน์สูงสุดคนหนึ่ง เธอได้รับรางวัลการันตีความสามารถมากมายทั้งแซก เอมมี่ ไปจนถึงลูกโลกทองคำ จากซีรีย์สตลกขวัญใจนักวิจารณ์ 30 Rock ที่เธอทำหน้าที่ตั้งแต่โปรดิวซ์ เขียนบท ไปจนถึงแสดงนำ ผลงานสร้างชื่ออื่นๆ รวมถึงหนังตลกวัยรุ่น Mean Girls นำแสดงโดยลินด์ซีย์ โลฮาน และเรเชล แม็คอดัมส์ นอกจากนี้เธอยังเป็นศิษย์เก่าของ Saturday Night Live วาไรตี้โชว์สุดฮิตเป็นเวลาช้านานของอเมริกา โดยบทบาทที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงสูงสุดของเธอคงจะไม่พ้นทุกมุกที่ล้อเลียน Sarah Palin ด้วยความที่... ไม่น่าถามนะ หน้าเหมือนกันปานคลานตามกันมาซะขนาดนั้น


โดยส่วนตัวแล้วเราเป็นคนชอบดูอะไรก็ตามที่เป็นคอมเมดี้มาก โดยเฉพาะซิทคอมนี่ดูแทบทุกเรื่อง แต่เรารู้จักเฟย์จริงๆ ก็ตอนได้ดู Mean Girls นี่แหละ มันเป็นหนึ่งในหนังตลกในดวงใจตลอดกาลของเราด้วยความที่บทมันฉลาด จิกกัดสังคมไฮสคูลของอเมริกันชนได้ถึงพริกถึงขิง ที่สำคัญมันน่าติดตาม และตลกมากๆ ด้วย ในเรื่องนี้เฟย์รับบทเป็นครูประจำชั้นของนางเอกซึ่งบทไม่เด่นอะไรนัก จนมาทีหลังเราได้รู้ว่าแม่คนนี้นี่เองที่เขียนบท หลังจากนั้นก็เลยลองดู Saturday Night Live ที่รีรันในทีวีตอนเราไป Work & Travel ซึ่งก็ขำมากๆ (เฉพาะมุกที่เราฟังรู้เรื่องอะนะ) ความประทับใจในตัวเฟย์ก็เลยยิ่งเพิ่มพูนซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับตอนที่มีคนแนะนำให้เราดูคอมเมดี้ซีรีย์ส 30 Rock เท่านั้นแหละ ปรอทแตกครับท่านผู้ชม มันเป็นซีรีย์สที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งทั่วทั้งหล้านี้ บทของมันทั้งตลก วิพากษ์สังคมในขอบเขตที่กำลังน่ารัก และไม่พยายามทำตัวให้ดูฉลาดเกินกว่าที่มันควรจะเป็น


ชีวิตของเฟย์อาจฟังไม่ดราม่าเท่าไหร่เพราะมันไม่ได้เต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนเศร้าหรือสอนบทเรียนชีวิตแสนลำเค็ญจนต้องให้คุณไตรภพมามอบรถเข็นให้ เธอเรียนจบการละครและเรียนต่อที่ The Second City สถาบันสอนอิมโพรไวซ์คอมเมดี้ชื่อดังที่ซึ่งเฟย์มุ่งหน้าสู่เส้นทางของบทตลกอย่างเต็มตัว จนในที่สุดเธอก็ได้เข้าร่วมทีม SNL และกลายเป็นหัวหน้าทีมเขียนบทในเวลาต่อมา บทเรียนสำคัญที่เราได้เรียนรู้จากเฟย์ก็คือ ไม่มีสิ่งใดที่เราจะทำได้ดีไปกว่าสิ่งที่เรารู้จักดีที่สุด ใน 30 Rock เฟย์เขียนให้ตัวเองมารับบทลิซ เลมอน หัวหน้าทีมเขียนบทของคอมเมดี้โชว์ทางทีวีเรื่องหนึ่ง ซึ่งถ่ายทำในสตูดิโอใน 30 Rockfeller Plaza ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรื่อง และแน่นอนก็มีเรื่องราววุ่นๆ เกิดขึ้นมากมายในสำนักงานแห่งนี้ คงไม่ต้องเดาให้ยากว่าเฟย์แต่งเรื่องพวกนี้มาจากไหนถ้าไม่ใช่จากประสบการณ์ตรงสมัยทำงานใน SNL ซึ่งในที่สุดก็เป็นผลงานชิ้นนี้เองที่ส่งให้เธอกลายเป็นนักเขียนบทมือทองของวงการจอแก้วอเมริกา


Find out who you really are
Utada Hikaru

อูทาดะ ฮิคารุ ศิลปินสาวชาวญี่ปุ่นอายุ 26 ปีผู้ครองตำแหน่งมีอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่น First Love อัลบั้มแรกของอูทาดะในวัยสิบหกขายได้กว่า 7 ล้านก๊อปปี้ทั่วญี่ปุ่น ส่งให้เธอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์เพียงชั่วข้ามคืน จนมาถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่อูทาดะยังคงรักษาตำแหน่งศิลปินแถวหน้าของญี่ปุ่น คงจะไม่เกินจริงไปนักหากกล่าวว่ามันจะคงบ้ามากถ้าจะมีชาวญี่ปุ่นคนไหนที่ไม่รู้จักชื่อของเธอ


ความสำเร็จของอูทาดะนั้นมากมายหลายหลากจนยากที่จะพรรณนาที่นี่หมด ฉะนั้นจะขอเปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงเนื้องานของเธอแทน ด้วยชาติกำเนิดจากครอบครัวนักดนตรีขนานแท้เพราะพ่อของเธอเป็นโปรดิวเซอร์ ส่วนแม่ก็เป็นนักร้องเพลงพื้นบ้านชื่อดังของญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่อูทาดะจะมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการทำเพลง ตั้งแต่แต่งทำนอง เนื้อร้อง ไปจนถึงเรียบเรียงดนตรี เนื้อเพลงของเธอมีความหลากหลายได้ทั้งลึกซึ้งกินใจ สนุกสนาน หรือแม้แต่เสียวซ่าน ซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่บนพื้นฐานของความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ เรียกว่าอ่านปุ๊บก็รู้ปั๊บว่าใครแต่ง แต่ใครจะเชื่อว่าเจ้าของเนื้อร้องที่สามารถสร้างผลกระทบให้กับคนฟังได้อย่างรุนแรงคนนี้กลับรู้สึกว่าเธอ ...ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร


อูทาดะเกิดในมหานครนิวยอร์คและใช้ช่วงชีวิตในวัยเด็กสลับไปมาระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น เธอจึงรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และด้วยวัยเพียง 19 อูทาดะตัดสินใจแต่งงานกับสามีผู้กำกับภาพยนตร์ที่อายุมากกว่าเธอเป็นรอบ และจบลงด้วยการหย่าร้างเมื่อเธออายุได้ 24 ในบทสัมภาษณ์หนึ่งเธอเล่าว่าสามีชอบเฝ้าแต่ถามเธอว่าคุณต้องการอะไรในชีวิต คำตอบกลับมีแต่เพียงความเงียบไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร เธอตระหนักว่าลึกลงไปแล้วเธอกลับไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าความต้องการของตัวเองคืออะไร ไม่เคยวางแผนใดๆ ในชีวิต และท้ายที่สุดไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เธอกล่าวว่าผลงานเพลงที่เธอเคยเขียนแม้จะฟังดูลึกซึ้งและคมคายเพียงใด สำหรับเธอก็เป็นเพียงผลผลิตจากความพยายามของเด็กสาวผู้ไม่เคยมั่นใจในตัวเองเท่านั้น แต่หลังจากการหย่างานเพลงของอูทาดะก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน มันฟังง่าย สว่างสดใสขึ้น และที่สำคัญคือจริงใจขึ้น วุฒิภาวะที่พ้นผ่านทำให้อูทาดะเรียนรู้ที่จะทำความรู้จักกับตัวเอง เธอโอบกอดความหมายของชีวิตและเติบโตอย่างมั่นใจโดยให้ความว่างเปล่าในอดีตทำหน้าที่เป็นบทเรียน


สำหรับเรา จากที่เคยแค่ชื่นชมงานเพลงของเธอ พอได้อ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้แล้วอูทาดะก็ไม่ได้อยู่ๆ กลายเป็นฮีโร่ของเราซะเฉยๆ เพียงแต่รู้สึกเหมือนมีเธอเป็นเพื่อนร่วมทางมากกว่า เราเชื่อว่าทุกคนล้วนต้องเคยรู้สึกถึงพื้นที่ว่างในจิตใจและถามตัวเองว่าเราเป็นใคร เกิดมาเพื่ออะไร คำตอบที่เหมาะสมและไม่หลอกตัวเองอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหา แต่ไม่มีวันสายเกินไปที่จะเริ่มต้นการเดินทางนี้ อูทาดะเองยังหาคำตอบไม่พบ เราเองยังหาคำตอบไม่พบ แต่ก็ยังเชื่อเสมอว่าเมื่อประสบการณ์ขัดเกลาเราให้เจริญเติบโตเพียงพอ สุดท้ายแล้วคำตอบที่จะเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตจะต้องมาถึง


คุณค่าทางจิตใจเหนือสิ่งอื่นใด
ปู่

ปู่ของเราเป็นครู ชาวนา และเป็นคนที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เกิด ปู่อายุ 87 ปีแล้วแต่ยังคงแข็งแรง ปู่ชอบขี่จักรยานไปไหนมาไหนเองทุกวัน เราได้สัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของปู่มาตลอด แม้ปู่จะไม่ได้ประสบความสำเร็จร่ำรวยล้นฟ้า แต่สำหรับเราปู่เป็นต้นแบบของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


ตั้งแต่เราจำความได้ ปู่จะเป็นคนแรกที่เราเห็นทุกเช้ามืดที่ตื่นขึ้นมา พ่อแม่เราออกไปทำงานตั้งแต่ก่อนที่เราจะตื่นเพราะต้องเดินทางไกล เราจะลุกจากเตียงแล้วหอบผ้าห่มมานอนที่ห้องนั่งเล่นแล้วเปิดทีวีทิ้งไว้ ระหว่างนั้นเองปู่ก็จะเดินวนเวียนไปกลับระหว่างบ้านเรากับบ้านปู่กับย่า เตรียมอาหารเช้าให้เรา หรือไม่ก็ออกไปกวาดใบไม้ที่ลานหน้าบ้าน พอได้เวลาปู่จะบอกให้เราไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว ปู่จะหิ้วกระเป๋านักเรียนเราออกไปยืนรอรถโรงเรียนตรงทางเดินหน้าบ้าน กินข้าวเสร็จเราก็ออกไปยืนรอรถกับปู่ เช้าบางวันอย่างในหน้าหนาวที่ฟ้ายังไม่ทันจะสว่างก็จะเห็นเป็นไฟสองคู่ของรถโรงเรียนส่องมาจากหน้าปากซอย ปู่ก็จะเดินไปส่งเราขึ้นรถ พอตกเย็นรถโรงเรียนจะมาส่งเราหน้าบ้านเหมือนเดิมที่ซึ่งปู่จะยืนคอยเราอยู่ก่อนแล้วทุกวัน ปู่จะช่วยเรายกกระเป๋าเดินเข้าบ้าน อาหารว่างอย่างลูกชิ้นหรือไส้กรอกปิ้ง บางทีก็เป็นน้ำเต้าหู้ที่มีปาท่องโก๋แช่อยู่จะวางอยู่บนโต๊ะ เราจะกินไปทำการบ้านไปโดยมีปู่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาด้านหลังเรา บางวันที่พ่อแม่เรากลับดึกปู่ก็จะไปอาบน้ำที่บ้านก่อนแล้วมานั่งอยู่เป็นเพื่อนเรา จนกระทั่งพ่อแม่เรากลับมาปู่ถึงจะกลับบ้านไปเข้านอน และเช้าต่อมาเราก็จะได้พบปู่อีกครั้ง


แต่ละวันของการปิดเทอมเราจะได้มีโอกาสเห็นปู่ทั้งซักผ้า สอยมะม่วง เปิดประตูกั้นน้ำให้น้ำไหลเข้าสวน ตักน้ำจากท้องร่องรดต้นไม้ เสียงที่เราคุ้นเคยที่สุดก็คือเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวกระทบพื้นซีเมนต์หน้าบ้านขณะที่ปู่กวาดใบไม้ และภาพที่เราเห็นจนชินตาคือภาพของปู่กำลังขี่จักรยาน ตอนเด็กๆ เรามักจะซ้อนท้ายปู่เข้าไปร้านขายขนมข้างๆ วัดแล้วซื้อขนมปูไทยกิน จักรยานของปู่พาปู่ไปทุกแห่ง เราถึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปู่ถึงได้แข็งแรงขนาดนี้ เรารู้สึกว่าปู่เท่มากๆ เวลาเราได้ไปงานบุญหรืองานศพที่ต้องพบปะผู้คนหลายหลากแล้วทุกคนล้วนเรียกปู่ของเราว่าครู เวลาปู่อยู่กับย่า ทั้งสองมักจะเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ เสมอ แต่ปู่กลับไม่เคยบ่นเลยสักครั้งเวลาย่าใช้ให้ไปซื้ออะไร สำหรับเราแล้วปู่กับย่าคือนิยามของคำว่าคู่ชีวิต เพราะมันคงจะต้องวิเศษมากแน่ๆ ถ้าเราจะมีใครสักคนที่ร่วมชีวิตกับเรา และเติมเต็มความสุขให้แก่กันแม้ในยามแก่ชรา และเราก็อยากมีโอกาสได้มอบความรักและความเสียสละให้กับใครโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แบบเดียวกับที่ปู่ทำให้เรารู้สึกตลอดมา แม้สักครั้งในชีวิตก็ยังดี


ตอนนี้แม้เราจะไม่ได้มีโอกาสอยู่กับปู่แบบเดิม แต่สิ่งที่เรายังพอทำได้ก็คือตั้งใจเรียน ไม่ไว้ผมยาว และไปเยี่ยมปู่กับย่าอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพราะสำหรับเราปู่คือคนสำคัญ ปู่สอนให้เราเห็นถึงความหมายอันยิ่งใหญ่ของคุณค่าทางจิตใจ เลี้ยงดูเรามาจนเราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ และไม่ว่าจะเกิดอะไรเราก็ยังจะเป็นเด็กบ้านนอกหลานปู่คนเดิม

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ขนมปัง + น้ำ

Innovative Thinking ครั้งล่าสุดนี้อาจารย์สอนเรื่องกลยุทธ์การหาทางเลือกจำนวนมาก ซึ่งเป็นอีกวิธีที่สำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรากำลังทำได้ บุคคลสำคัญของโลกแทบจะทุกคนต่างก็สร้างผลงานออกมาจำนวนมากทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน แต่อาจจะมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ การดึงเอาไอเดียออกมาเยอะๆ นี้เองที่ช่วยให้พวกเขาเพิ่มโอกาสที่จะสร้างผลงานชิ้นโบแดงได้สำเร็จ โดยวิธีในการรวบรวมไอเดียให้ได้จำนวนมากเพื่อใช้เป็นทางเลือกก็ทำได้หลากหลายวิธี

อย่างเช่นพยายามทำตัวแบบ Optimizer ก็คือคนที่แม้จะรู้ว่าตนทำสำเร็จได้ตามเป้าหมายแล้ว ก็ยังทำแบบเดิมต่อไปเพื่อค้นหาวิธีหาคำตอบที่ดีที่สุด เช่น ในงานที่ต้องการจะหาเข็มในกองฟางก็เปรียบได้กับคนที่หาเข็มเจอแล้วแต่ก็ยังพยายามหาต่อให้ครบทุกเข็ม ต่างจาก Satisfier ที่พอหาเข็มเจอแล้วก็หยุดเพราะถือว่าทำได้แล้ว ซึ่งทัศนคติแบบนี้ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการประสบความสำเร็จในการทำงานใดๆ

หรืออย่างวิธีง่ายๆ คือในการจะทำงานใดๆ ก็ให้กำหนดโควต้าของจำนวนไอเดียเอาไว้ จากนั้นก็พยายามรวบรวมไอเดียให้ได้ครบตามจำนวนนั้น มีวิธีในการจูงใจหลายแบบ เช่น ในการจดบันทึกไอเดียที่ได้ก็ให้ลองเขียนตัวเลขโควต้านั้นให้ครบเสียก่อน เมื่อเราเห็นตัวเลขว่างๆ เหล่านั้นก็จะพยายามคิดหาไอเดียมาเติมให้เต็มโดยอัตโนมัติ

ไฮไลต์ของการเรียนครั้งนี้ก็คือขนมปังกับน้ำ เอามาทำอะไรก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ คือได้กินชัวร์ๆ สรุปก็คืออาจารย์ธงชัยสอนพวกเราเกี่ยวกับวิธีในการกินที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพราะการกินเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ถ้าไม่กินเราก็ตาย ฉะนั้นในการกินจึงควรมีสติ เคี้ยวช้าๆ ประมาณ 30 ครั้ง (เราแอบทำไม่ถึงเพราะมันจะต้องกลืนลงไปเองทุกครั้งสิน่า) ดื่มน้ำก็เช่นกัน ควรจะดื่มทีละนิด อมไว้สักพักให้รู้สึกถึงความชุ่มชื้นแล้วค่อยแบ่งส่วนกลืนลงไป นอกจากจะเป็นการฝึกสมาธิที่ดีแล้วยังช่วยรักษาสุขภาพด้วย

ท้ายคาบพวกเรายังได้ทำแบบทดสอบเพื่อค้นหาจุดเด่นของตนเองด้วย จะได้รู้ว่าเรามีบุคลิกหรือลักษณะอะไรที่โดดเด่น อยากฟังผลแล้วเอิงเอย

ป.ล. ขอแถมจาก blog ที่แล้วหน่อย วันนี้เพลงใหม่ของอูทาดะเพิ่งออกมา เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Evangelion 2.0 ที่ฉายที่ญี่ปุ่นวันนี้วันแรกเช่นเดียวกัน แต่ปรากฎว่าไม่ใช่เพลงใหม่อะ เป็นเพลง Beautiful World ที่ใช้ประกอบหนังภาคแรกนั่นแหละ แค่เอามารีมิกซ์ใหม่ในสไตล์อะคูสติกร็อคซึ่งก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบ รอเก้อเลยตู (จริงๆ อันนี้แสดงตัวอย่างของความขาดสติ เพราะตามข่าวที่ออกมาก็เปล่ามีตรงไหนบอกซะหน่อยว่าจะเป็นเพลงใหม่ แป่ว!)

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อูทาดะ - อันนี้นี่แหละ

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามวิกาลที่จะเขียนถึงสุดที่รักของเรา เจ๊อู หรือที่รู้จักกันในนาม อูทาดะ ฮิคารุ, ฮิกกี้, อ้วนทาดะ, และอื่นๆ มากมาย อูออกอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษอัลบั้มใหม่แล้วววตั้งนานแล้ววว แต่เพิ่งมีอารมณ์ใฝ่จะเขียนถึงอะ สำหรับ blog นี้เราจะขอเขียนแบบ No rhymes, no embellishments, no adjectives. เพราะที่ผ่านมาเราชอบพยายามเขียนให้ดูเป็นมืออาชีพอย่างเช่น หลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามแทนตัวเอง หรือไม่บางทีก็วางโครงเรื่องซะวิลิศมาหรา สุดท้ายก็เลิกเขียนไปซะงั้น มาคราวนี้เราจะขอเขียนสด ปราศจากเมคอัพใดๆ ทั้งสิ้น ขอฝากตัวด้วยครับ โอเนกาอิชิม้าาาสุ

ก่อนอื่นถ้าเห็นรูปนี้ด้วยแล้วอาการคลื่นเหียน ขอแสดงความเสียใจด้วยเพราะเราไม่มียาดมให้ยืม ถูกต้อง! มันคือหน้าปกอัลบั้มใหม่ของอู "อันนี้นี่แหละ" หรือ This Is The One นั่นเอง และไม่! เราไม่รู้ว่าต้นสังกัดมันคิดอะไรอยู่ ด้วยการปล่อยให้หน้าปกอัลบั้มโกอินเตอร์ของซูเปอร์สตาร์หญิงผู้มียอดขายอัลบั้มสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่นออกมาเป็นผลงานของเด็กประถม 1 วัดหนองอีแหนบผู้เพิ่งหัดใช้โฟโต้ชอปจากค่ายบิตไบต์เป็นเวลา 2 วันแบบนี้ นับว่าบุญแค่ไหนแล้วที่ตัวอักษรสีดำอ้วนๆ ที่เป็นชื่ออัลบั้มนั่นอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษพอดี น่าปลาบปลื้มซะจนอยากเอารองเท้าคาลวิน ไคลน์ลูบหน้าคนทำหน้าปกนี้แทนคำขอบคุณจริงๆ

ชื่นชมหน้าปกอัลบั้มมาพอหอมปากหอมคอ เรามาพูดถึงเนื้อในกันดีกว่า ขอเริ่มเก๋ๆ กับซิงเกิลเปิดตัว Come Back To Me อาร์แอนด์บีบัลลาดที่ mainstream รุนแรงเลือดสาด ทว่าแตกต่างและแข็งแกร่ง มาแรงมากๆ จนนับแค่แอร์เพลย์ในไทยก็สามารถส่งให้อูโด่งดังไปถึงภพหน้าได้สบายๆ ...หรือจะเถียง เราว่าอูทำเพลงบัลลาดได้น่าฟังมากๆ เมื่อเทียบกับข้อจำกัดของอัลบั้มนี้ เพลงอย่าง Apple & Cinnamon คือบัลลาดของอูภาคองค์อเมริกันลงด้วยบีทหนักๆ พร้อมคีย์บอร์ดเซ็งแซ่แบบเดียวกับเพลงฮิตทั้งหลายอย่างเช่น Bleeding Love หรือบัลลาดสุดแสนจะป๊อบร็อคอย่าง This One (Crying Like A Child) ที่อูใส่คำอย่าง blackberry, JPEG, hard drive ลงไปในเนื้อร้องได้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงของอูในเพลงนี้จริงใจมากๆ จนถ้าคนที่กำลังมีประสบการณ์ใจร้าวได้ฟังล่ะก็อาจมีสะอื้น เราเองมีช่วงหนึ่งก็อินเพลงนี้มากเช่นกันจนเกือบๆ ฮือ... อ๊ะๆ อัลบั้มนี้ก็มีเพลงเร็วๆ ชักกระตุกๆ กับเขาด้วยนะ เลือกเอาว่าจะกระตุกแบบเนิบๆ เริงราตรีในปาร์ตี้แบบผู้ดีเขาทำกันกับ On & On หรือจะแดนซ์แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับ Dirty Desire ที่ในเพลงนี้อูโชว์ของ ปลดปล่อยราคีราคะหื่นกามสุดพลังเพราะแม่เล่นจินตนาการถึง... ไม่เอาดีกว่า เขียนไปเดี๋ยวจะถูก ICT บล็อกเปล่าๆ เอาเป็นว่าต้องไปลองอ่านเนื้อเพลงเอาเองถึงจะรู้ซึ้งถึงความป่วงของเพลงนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีแทรคแปลกๆ อย่าง Me Muero ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงโปรดในอัลบั้มของอู ชื่อเพลงเป็นภาษาสเปนแปลว่าฉันกำลังจะตายหะ แน่นอนว่าดนตรีมีกลิ่นอายสเปนอ่อนๆ ของบอสซาโนวาคลอเคล้าด้วยเสียงฟลุต แถมยังแปลกหนักเข้าไปอีกกับเนื้อท่อนที่ร้องว่าฉันนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียงหม่ำช็อกโกแลตยี่ห้อโกดิว่า ...มิน่าถึงอ้วน และสุดท้ายท้ายสุดเพลงโปรดของเรา Merry Christmas Mr. Lawrence - FYI ชื่อยาวได้อีกอย่างนี้ก็เพราะอูแซมเปิลผลงานในชื่อเดียวกันของมือเปียโนชั้นครู Ryuichi Sakamoto สำหรับเราเพลงนี้คือคำนิยามของการแซมเปิลงานคนอื่นที่ศิลปินทั้งหลายพึงกระทำ ผลงานเดิมคือมาสเตอร์พีซอันเกิดจากเมโลดี้เปียโนง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของความเป็นเอเชีย อูจัดแจงเอามาเพิ่มทำนอง แต่งเนื้อร้อง เรียบเรียงดนตรีบ้างอะไรบ้างจนออกมาเป็นเพลงใหม่ที่เก๋ไก๋ได้โล่ไม่แพ้กัน บีทของเพลงนี้ลงตัวที่สุดในสามโลกเพราะมันเป็นเออร์บันบีทที่สุดจะทันสมัยอันเป็นผลมาจากส่วนผสมอันกลมกล่อมของกลองแต๊ก เครื่องสาย และเสียงถอนหายใจของอู ยิ่งมาจับคู่กับเปียโนเพราะขั้นเทพแล้ว ซูอาเว่... นิพพานกันก็วันนี้ ส่วนอูร้องว่าอะไรไม่สำคัญแล้วเพราะแค่นี้เพลงนี้ก็มีแต่เกิด เกิด เกิด

ความพยายามครั้งที่สองของอูครั้งนี้สำหรับเรามันคือความเลิศ หลังจากอกเดาะดังเป๊าะกับอัลบั้มแรกอย่าง Exodus ที่อูต่อมติสต์แตกซ่านทำเพลงดีแต่กลับยากหยั่งถึง อูกลับมาอีกครั้งพร้อมความมั่นใจเพิ่มพูนกับความหวังที่หนูจะดัง หนูจะดังในบ้านเกิดของเธออย่างอเมริกา "อันนี้นี่แหละ" จึงนับเป็นอีกก้าวที่น่านับถือของศิลปินสาวผู้นี้ที่ยอมเสียสละความปรารถนาส่วนตัวและยอมให้เหตุผลทางการตลาดเข้ามามีอิทธิพลกับงานเพลงของเธอมากขึ้น เราเชื่อและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกไม่นานเกินรอ ชื่ออัลบั้มนี้คงจะยาวกว่าเดิมเป็น "อันนี้นี่แหละ ...ที่ทำให้อ้วนดังในอเมริกา" รักนะ จุ๊บุ จุ๊บุ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เป้าหมาย

วิชา Innovative Thinking คาบล่าสุดนี้ได้เรียนเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย ตามลักษณะของมหาบุรุษ 5 ประการที่อาจารย์ได้สอนไว้ซึ่งได้แก่ ความมุ่งหมาย ความเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง มโนมยิทธิ ความเชื่อมั่นในตนเอง และสมาธิ การตั้งเป้าหมายก็เลยเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเดินทางสู่ความสำเร็จ กิจกรรมที่เราได้ทำกันในคาบนี้ก็คือเขียนเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะยาว และเป้าหมายสูงสุด เพราะเชื่อว่าเมื่อเขียนสิ่งที่ใฝ่ฝันลงไปในกระดาษ แล้วหยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจอยู่เสมอ และสักวันก็จะทำตามฝันได้สำเร็จ

นี่เองก็เลยเรียกว่าเป็นกระบวนการการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิธีหนึ่ง เรียกว่า Affirmation สรุปความหมายสั้นๆ ได้ใจความว่า Fake it until you make it. หลอกตัวเองไปจนทำได้จริงเข้าสักวัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจทีเดียว

ในคาบ อาจารย์ธงชัยเล่าว่าเคยไปซื้อ Peptein มาดื่มแล้วรู้สึกหายง่วง เพราะ Soy Peptide ที่เป็นส่วนประกอบนั้นมีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อนำประสาท ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น (รู้สึกเหมือนแอบโฆษณาให้เขาเลย) ฟังแล้วก็อยากซื้อมาดื่มก่อนสอบบ้างอะไรบ้าง จะได้ฟิตปั๋ง คิดออก ทำข้อสอบได้ แต่ประเด็นคือขวดเล็กยังตั้ง 70 กว่าบาทแถมรสชาติไม่เอาอ่าวอีกต่างหาก ...น้ำเต้าหู้น่าจะพอแทนกันได้นะ

ขอนอกเรื่องนิด พอเรียนจบคาบเพื่อนที่บัญชีก็โทรมาตามให้ไปช่วยงานหน่อย ไอ้เราก็นึกว่างานอะไร ปรากฎว่าเป็นงานปฐมพยาบาลน้องเฟรชชี่ในวันปิดห้องเชียร์ พร้อมกันนั้นก็มีเพื่อนที่เรียนหมอ 2 คนมาช่วยด้วยอีกต่างหาก (ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนห้องเราตอน ม. ปลาย) ตอนแรกนึกว่าจะนั่งว่างๆ ที่ไหนได้น้องป่วยกันเพียบราวกับอุปทานหมู่เป็นลมเพราะได้พบพี่เบิร์ด เรียกว่าหามกันมาตลอดเกือบๆ 5 ชั่วโมง มีทั้งเป็นลม Hyperventilation (อันนี้ศัพท์ใหม่เพิ่งรู้ เป็นอาการขาดคาร์บอนไดออกไซด์) แขนขาชา ชัก แต่ที่เด็ดสุดก็นี่เลย หูดับ! คือประมาณว่าหูหนวกชั่วขณะ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไว้เดี๋ยวหายเอง แถมน้องๆ ทุกคนที่ป่วยก็ช่างมีสปิริตแรงกล้า พอหายป่วยปุ๊บก็ร้องกระจองอแงจะกลับไปช่วยเพื่อนร้องเพลงเชียร์ต่อ ไอ้เราเห็นแล้วก็ปลาบปลื้ม เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอที่ต้องมาเป็นพยาบาลจำเป็นแบบนี้ สนุกดี

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Up Blog

เพิ่งได้ดูหนังอนิเมชั่นของพิกซาร์เรื่องล่าสุด Up แล้วประทับใจมากมายก่ายกอง แต่จะว่าไปเราก็ประทับใจมันทุกเรื่องอะนะหนังพิกซาร์เนี่ย

เต็มอิ่มกับปรัชญาชีวิตแบบผู้ใหญ่กับบทหนังที่ลงตัวที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ใน Ratatouille

หลงใหลไปกับนิยามความรัก การผจญภัย และสุดยอดการออกแบบตัวละครของสองหุ่นยนต์หัวใจโต๊โตพร้อมเหล่าผองเพื่อนใน WALL·E

ล่าสุดก็นี่เลยจ้า Up

ที่เอาโปสเตอร์หนังเวอร์ชั่นนี้มาลง ก็เพราะว่าเรารักตัวละครตัวนี้จังเล้ย โฮ่งๆ (ในรูปนี้ใส่ปลอกคอหมาจ๋อย)

มันชื่อ Dug เป็นน้องหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์แสนรู้แถมพูดได้ด้วยเพราะว่ามันติดปลอกคอแปลภาษา แน่นอนเราชอบมันเพราะเรารักหมา แต่ที่ถูกใจเป็นพิเศษก็คือทางทีมงานเขาศึกษาพฤติกรรมสัตว์มาดีมากเลย เพราะโดยธรรมชาติแล้วน้องหมาพันธุ์นี้จะเป็นมิตรมากกก เรียกว่าเป็นมิตรจนเกินเหตุขนาดว่าเจอโจรเข้าบ้านมันยังไปจะเล่นกับเขาแทนที่จะเห่าไล่ล่ะคิดดู แล้วก็มีนิสัยแอคทีฟ แสนจะลุกลี้ลุกลน ไฮเปอร์นั่นเอง นิสัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนลงในคำพูดของเจ้า Dug เรียกว่าถ้าน้องหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เกิดจะพูดภาษาคนขึ้นมาได้จริงๆ มันจะต้องพูดแบบนี้แน่นอน ประโยคเด็ดสุดโดนใจได้แก่ตอนที่เจ้า Dug พบกับคุณปู่ Carl เป็นครั้งแรกมันพูดว่า "My name is Dug. I have just met you, and I love you." 555+ น่าร้ากกกง่ะ

มาว่าต่อกันที่ตัวหนังบ้าง มันเป็นหนังที่ดีมาก คอมเฟิร์ม ข้อแรกเลยคือเทียบกับหนังพิกซาร์เรื่องอื่นแล้วมันตลกมากกก คือจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งในหนังเรานั่งขำเป็นวรรคเป็นเวร ประมาณว่าจะตาย ไม่ไหวแล้ว เพราะมุกมันมาแบบติดๆ กันเป็นซีรี่ย์ ทั้งหมาทั้งนกทั้งเด็ก หัวเราะกันแทบเป็นลมเลยทีเดียว อีกข้อคือมันเป็นหนัง coming of age หรือหนังที่แสดงการก้าวผ่านวัยต่างๆ ของตัวละคร ที่ซึ้งกินใจจนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่มันการ์ตูนนะ คนดูอย่างเราต้องคอยสำรวจเรื่องราวชีวิตพร้อมทั้งเอาใจช่วยตัวละครทั้งหลายซึ่งนำมาสู่บทเรียนชีวิตมากมายให้ร่วมซาบซึ้งและนำไปขบคิด ตอนต้นเรื่องก็เลยเกือบจะป้อยไปหนึ่งรอบ ยิ่งตอนท้ายๆ นี่มาอีกหลายๆ ทีจนแบบปริ่มๆ แล้ว แต่ยังไม่ไหลนะ อิอิ (หมายถึงน้ำตาจ้ะ ห้องน้ำน่ะเข้าแล้วก่อนเข้าโรง)

อย่างไรก็ตามมันยังไม่คมคายเพียงพอ คือด้วยความที่มันเป็นการ์ตูน ขอบเขตให้เล่นสนุกมันจึงขยายกว้างกว่าหนังทั่วไปซึ่งเรื่องนี้ใช้ซะเกือบสุด ช่วงหลังๆ เลยรู้สึกว่าหนังทำตัวขบขันเกินงามไปนิด จนทำให้ภาพรวมสูญเสียความสมบูรณ์ไปนิดหน่อย แต่เราคิดว่ามันยังดูสนุกกว่า Ratatouille ที่แม้จะงดงามลงตัวมากเพียงใดแต่ถ้าเด็กเข้าไปดูอาจมีหลับ นับว่าดูสนุกและอยากดูซ้ำได้พอๆ กับ WALL·E นั่นก็เพราะความน่าหลงใหลของตัวละคร เราขอยกย่องพิกซาร์เลยสำหรับการออกแบบตัวละครให้เป็นที่รักของคนดูได้เข้าขั้นเมพขิงๆ

สรุปสั้นๆ ว่า ณ จุดนี้ ปลาบปลื้ม Up มากๆ ขอแนะนำให้ไปดูกันโดยถ้วนหน้าเด้อขรั่บเด้อ

ป.ล. รักน้องหมา Dug จังเงย

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พันโทอานันท์ ชินบุตร

วิชา Innovative Thinking วันนี้ได้รับเกียรติจากพันโทอานันท์ ชินบุตรมาบรรยายให้นิสิตผู้มีหอพักอยู่ฟังกัน ได้รับความรู้มากมาย ได้รับกำลังใจเป็นกอง

ท่านพันโทเรียนจบจากจปร. แล้วก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ท่านมีงานบรรยายและแปลหนังสือมากมาย ส่วนมากเกี่ยวกับแนวทางในการประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น NLP หรือ Neuro-Linguistic Programming แต่เผอิญวันนี้ไม่ได้บรรยายเน้นที่เรื่องนี้หรอก ...อ้าว เราจะบอกทำไม

ระหว่างการบรรยายก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมายอย่างหลัก 5D ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ คล้ายๆ กับอิทธิบาท 4 เรื่องเล่าต่างๆ เช่นประวัติของเอดิสัน การเป็นนักคิดที่ริเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติและแรงใจอันใหญ่หลวงเพื่อดำเนินรอยตามความคิดนั้น ไหนจะยังองค์ประกอบ 4 อย่างคือ body, mind, emotion, และ spirit ที่เราควรทำความเข้าใจและเอาใจใส่อย่างเท่าเทียม เพื่อให้เราประสบความสำเร็จ เหล่านี้ก็เป็นความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปจุดประกายความคิดให้แน่วแน่ทำความฝันที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ

เราว่าสิ่งที่ได้ฟังวันนี้เป็นประโยชน์มากๆ ในช่วงนี้ของชีวิต นิสิตผู้มีหอพักอยู่ (พอเหอะมุกนี้) ชั้นปี 4 ทุกคนก็ต้องเริ่มวางแผนอนาคตตัวเองแล้วว่าจะไปทำอะไรต่อไป อย่างเรานี่ขอแค่ตอนนี้สอบโทเฟลให้ผ่านก่อนก็ปลาบปลื้มแล้ว เรียนเสร็จวันนี้ปุ๊บมีกำลังใจขึ้นมากมาย ถึงเวลาจะต้องฟิตได้แล้ว ไฟ้โตะ! แต่เริ่มพรุ่งนี้แล้วกัน สำหรับวันนี้ขอนอนก่อน 555+

ประโยคทิ้งท้ายวันนี้ When the flames are burning hot, they take you higher. เอามาจากเพลงประกอบหนัง Top Gun นั่นแหละ เป็นข้อคิดได้ดี แถมแต่งได้ดีจัง เปรียบเครื่องบินกับคนทำตามฝันได้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Softbank

Softbank เป็นบริษัทขายโทรศัพท์มือถือที่ญี่ปุ่น เขามีโฆษณาที่น่าสนใจมาก เคยทั้งดึงตัวดาราฮอลลีวูดดังๆ ทั้งแบรด พิทท์ แล้วก็แคมเมรอน ดิแอซ มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ แต่โฆษณาชุดที่โด่งดังยาวนานสุดๆ เรียกว่าเห็นได้ทั่วไปเลยทั้งตามป้ายโฆษณา หรือจะเป็นโฆษณาทีวี เห็นจะเป็นเรื่องราววุ่นๆ ของครอบครัว The Whites นี่แหละ ซึ่งครอบครัวนี้ประกอบด้วย ลูกสาวชาวญี่ปุ่นทำงานเป็นพนักงานขายของ Softbank, ลูกชายเป็นคนดำ?! ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน, คุณแม่เป็นแม่บ้านชาวญี่ปุ่น, และคุณพ่อเป็นหมาสีขาว!!!

ตามป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆ เช่น ย่านชอปปิ้ง สถานีรถไฟ หรือบนขบวนรถไฟ ก็จะมีรูปคุณพ่อหมา (ตัวจริงชื่อไคคุง ซึ่งโด่งดังมากมาย กลายเป็นมาสคอตของแบรนด์ไปแล้ว) แต่งตัวต่างๆ นานาตามแคมเปนโฆษณาในช่วงเวลานั้นๆ อย่างอาจจะใส่ชุดนักเบสบอล บางทีก็สวมหมวกตำรวจ เรียกว่าใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องได้เห็นหน้าค่าตาคุณพ่อหมาสักครั้งหนึ่งแน่นอนเลยทีเดียว งั้นมาลองดูโฆษณาที่ฉายตามฟรีทีวีบ้างดีกว่า มีซับไตเติลนะ จะได้ดูรู้เรื่อง ตลกมาก น่ารักดี


แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องสนใจกับไอเดียสุดบรรเจิดแบบนี้ นับเป็นแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมของเขานะ เพราะจริงๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครอบครัว The Whites ต้องมีสมาชิกแต่ละคน (ตัว) พิสดารถึงเพียงนี้ แต่ประเด็นก็คือสุดท้ายแล้วแค่ทำให้คนสนใจและจดจำสินค้าได้ เท่านี้ก็บรรลุจุดประสงค์แล้วเนอะ

ป.ล. ลืมบอก น้องหมาบนหัว blog นี้ก็ไม่น่าจะเดายากนะว่าไปเอามาจากไหน

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Stop This Train

วันนี้มีเพลงความหมายดีมากๆ มาฝาก เป็นหนึ่งในเพลงที่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่ามีเนื้อเพลงที่ถูกแต่งออกมาได้งดงามและลงตัวที่สุด ลองอ่านดูนะ แปลได้ตรงๆ เลย เข้าใจง่าย


Stop This Train - John Mayer


No I'm not color blind

I know the world is black and white

Try to keep an open mind but...

I just can't sleep on this tonight


Stop this train I want to get off and go home again

I can't take the speed it's moving in

I know I can't

But honestly won't someone stop this train


Don't know how else to say it, don't want to see my parents go

One generation's length away

From fighting life out on my own


Stop this train

I want to get off and go home again

I can't take the speed it's moving in

I know I can't but honestly won't someone stop this train


So scared of getting older

I'm only good at being young

So I play the numbers game to find away to say that life has just begun

Had a talk with my old man

Said help me understand

He said turn 68, you'll renegotiate

Don't stop this train

Don't for a minute change the place you're in

Don't think I couldn't ever understand

I tried my hand

John, honestly we'll never stop this train


See once in a while when it's good

It'll feel like it should

And they're all still around

And you're still safe and sound

And you don't miss a thing

'til you cry when you're driving away in the dark.


Singing stop this train I want to get off and go home again

I can't take this speed it's moving in

I know I can't

Cause now I see I'll never stop this train


(think I got 'em now)


เพลงนี้พูดถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่ง (ตัวนายจอห์นนั่นเอง) ที่ยังรู้สึกไม่พร้อมกับการเจริญเติบโตของชีวิตที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขารับไม่ทัน เขายังไม่พร้อมจะออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง โดยปราศจากครอบครัวของเขา ...ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง เขาอยากจะลงแต่แน่นอนว่าลงไม่ได้

หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับชายชราคนหนึ่ง (อาจจะหมายถึงพ่อของเขาเองหรือเปล่า อันนี้ไม่รู้) ชายชราบอกว่าแล้วเขาจะเข้าใจเองเมื่อแก่ตัวลง และจงใช้เวลาบนรถไฟขณะนี้อย่างคุ้มค่าและมีสติ ชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามรอบกาย เพราะท้ายที่สุดแล้วมีความจริงอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นคือ... รถไฟขบวนนี้จะไม่มีวันหยุดวิ่ง

เราติดตามผลงานของ John Mayer มานานพอสมควรแล้วล่ะ เขาเป็นศิลปินที่แต่งเพลงได้น่าสนใจมากๆ นี่ยังไม่รวมถึงที่เขาเล่นกีตาร์เองอะไรเอง เพลงของเขาสะท้อนถึงวิถีชีวิต ค่านิยม ความสัมพันธ์ และความฝันของอเมริกันชนผ่านแนวดนตรีตั้งแต่อะคูสติกเบาๆ คันทรีย์ ไปยันโซล บลูส์จัดๆ แบบคนผิวสีเลยทีเดียว และสำหรับเพลงนี้ Stop This Train อยู่ในอัลบั้ม Continuum ที่ออกมาในปี 2006 เราขอยกย่องให้เป็นเพลงที่มีเนื้อที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะไม่เพียงแต่จะแฝงข้อคิดและปรัชญาชีวิตแล้ว ถ้าลองฟังดูจะรู้ว่าเนื้อเพลงแต่ละท่อนถูกนำไปใส่ในเมโลดี้ของเพลงอย่างลงตัวสุดๆ โดยเฉพาะท่อนคำพูดของชายชราที่ลงจังหวะพีคสุดของเพลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ ...ฟังแล้วขนลุกเลยล่ะ

พล่ามอย่างเดียวคงไม่รู้ เพราะงั้นฟังเลย...

หวังว่าเพลงนี้จะให้ข้อคิดอะไรในการใช้ชีวิตได้ไม่มากก็น้อยนะ

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Innovative Thinking: First Class

ว้าวๆ ประเดิม blog ใหม่เลย ตื่นเต้นจัง

คาบแรกของการเรียนวิชา Innovative Thinking 2009 (ชื่อวิชาเปรี้ยวได้โล่ ยังกับไข้หวัดแหนะ) แน่นอนเลยว่าทำให้เราได้ทำความรู้จักวิชานี้ ...แบบลึกซึ้งเลยล่ะ รู้สึกดีที่เลือกลงวิชานี้เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นอะไรที่แตกต่าง ไม่คาดคิดว่าจะได้เรียนอะไรแบบนี้เป็นวิชาภาคล่ะนะ

เริ่มจากวิชานี้มีกฎอะไรแปลกๆ มากมายเลย...

อย่างต้องกุลีกุจอยกมือตอบ เพราะมีคะแนนการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนให้ทุกคาบ แบบนี้เราไม่ชินเลย แต่แหงล่ะ เด็กไทยส่วนใหญ่ใครจะชิน

หรืออย่างนิสิตคนไหนนั่งแถวหลังสุดแสดงว่าเข้าห้องช้า จะไม่มีสิทธิ์ร่วมวงสนทนากับชาวบ้านเขา อืม... แปลกดีอะ คาบหน้ากะว่าจะไปจองที่ตั้งแต่เที่ยงเลย 555+

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เข้าใจว่าเพื่อกระตุ้นให้นิสิตมีความกระตือรือร้นมากขึ้นแหละเนอะ เราหวังว่าพอเรียนจบคอร์สแล้ว ตัวเราคงจะมีการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นบ้างล่ะ

ไหนจะยังกิจกรรมต่างๆ ในห้องที่เอ่อ... แบบว่า... ชอบอะ

อย่างพยายามเขียนศัพท์คอมพิวเตอร์ A-Z ภายในเวลา อันนี้มันส์มาก แอบภูมิใจในตัวเองที่เขียนได้เยอะกว่าที่คิด เพราะปกติเราจะไม่ sensitive กับเรื่องแบบนี้ เราไม่มีทางเข้าใจความงามของมัน

หรือที่ต้องวาดรูปมนุษย์ต่างดาว กับวาดรูปโดยใช้มือขวา อันนี้ก็ทำเราแปลกใจเพราะปกติจะชอบวาดรูปมาก แต่มาคราวนี้วาดไม่ค่อยออกแฮะ งงๆ (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะอยากเข้าห้องน้ำมาก ณ เวลานั้น)

กิจกรรมทั้งหลายนี้ก็ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเรา หรืออย่างน้อยก็ให้ข้อคิดบางอย่างที่เราไม่เคยตระหนักถึง คงจะสนุกดีถ้ามีอะไรขำๆ ให้เล่นแบบนี้ทุกคาบ ปลาบปลื้มมาก ณ จุดนี้

นอกจากนี้ก็มีการบรรยายเนื้อหาสาระต่างๆ อย่างคำคมจากบุคคลสำคัญของโลกที่ให้ข้อคิดได้ไม่มากก็น้อย (น่ายืมเอาไปส่งรายการของกาละแมร์ เผื่อได้ของรางวัล) หรือคุณลักษณะของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ระหว่างฟังเราก็แอบเอามาเทียบกับตัวเองนะ ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง ว่ากันไป แล้วยังมีบรรดานวัตกรรมล้ำยุคต่างๆ ที่เห็นแล้วก็ โห... คิดได้ไง เก่งจริงจัง

ทั้งนี้ทั้งนั้นยังแอบกระซิบกับเพื่อนเลยว่า อ.ธงชัย เหมาะกับตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนด้วยประการทั้งปวง (แอบประจบ 555+) เพราะอาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีของการปฏิบัติตนแบบผู้มีความคิดสร้างสรรค์ อาจารย์ active มาก และที่สำคัญคือ ดูเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ...ว่าไปนั่น

นี่กลายเป็นวิชาที่เราคิดว่าจะชอบค่อนข้างแน่ เพราะคงจะดีถ้าในวันศุกร์บ่าย ได้เรียนวิชาชิวๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดของการเรียนคอมพิวเตอร์มาทั้งสัปดาห์ ราวกับได้นั่งเที่ยวบินชั้นประหยัด เอ้ย! ต้อง first class สิ กลับจากการทำงานอันแสนเหนื่อยเหน็ด (ฝันเฟื่องจริงๆ) อา... smooth as silk

ยังไงเราจะตั้งตารอความตื่นเต้นที่จะเกิดขึ้นในคาบต่อๆ ไปนะ ไจ้เจี้ยน...