วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ขนมปัง + น้ำ

Innovative Thinking ครั้งล่าสุดนี้อาจารย์สอนเรื่องกลยุทธ์การหาทางเลือกจำนวนมาก ซึ่งเป็นอีกวิธีที่สำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เรากำลังทำได้ บุคคลสำคัญของโลกแทบจะทุกคนต่างก็สร้างผลงานออกมาจำนวนมากทั้งดีและไม่ดีปะปนกัน แต่อาจจะมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ การดึงเอาไอเดียออกมาเยอะๆ นี้เองที่ช่วยให้พวกเขาเพิ่มโอกาสที่จะสร้างผลงานชิ้นโบแดงได้สำเร็จ โดยวิธีในการรวบรวมไอเดียให้ได้จำนวนมากเพื่อใช้เป็นทางเลือกก็ทำได้หลากหลายวิธี

อย่างเช่นพยายามทำตัวแบบ Optimizer ก็คือคนที่แม้จะรู้ว่าตนทำสำเร็จได้ตามเป้าหมายแล้ว ก็ยังทำแบบเดิมต่อไปเพื่อค้นหาวิธีหาคำตอบที่ดีที่สุด เช่น ในงานที่ต้องการจะหาเข็มในกองฟางก็เปรียบได้กับคนที่หาเข็มเจอแล้วแต่ก็ยังพยายามหาต่อให้ครบทุกเข็ม ต่างจาก Satisfier ที่พอหาเข็มเจอแล้วก็หยุดเพราะถือว่าทำได้แล้ว ซึ่งทัศนคติแบบนี้ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการประสบความสำเร็จในการทำงานใดๆ

หรืออย่างวิธีง่ายๆ คือในการจะทำงานใดๆ ก็ให้กำหนดโควต้าของจำนวนไอเดียเอาไว้ จากนั้นก็พยายามรวบรวมไอเดียให้ได้ครบตามจำนวนนั้น มีวิธีในการจูงใจหลายแบบ เช่น ในการจดบันทึกไอเดียที่ได้ก็ให้ลองเขียนตัวเลขโควต้านั้นให้ครบเสียก่อน เมื่อเราเห็นตัวเลขว่างๆ เหล่านั้นก็จะพยายามคิดหาไอเดียมาเติมให้เต็มโดยอัตโนมัติ

ไฮไลต์ของการเรียนครั้งนี้ก็คือขนมปังกับน้ำ เอามาทำอะไรก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ คือได้กินชัวร์ๆ สรุปก็คืออาจารย์ธงชัยสอนพวกเราเกี่ยวกับวิธีในการกินที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพราะการกินเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ถ้าไม่กินเราก็ตาย ฉะนั้นในการกินจึงควรมีสติ เคี้ยวช้าๆ ประมาณ 30 ครั้ง (เราแอบทำไม่ถึงเพราะมันจะต้องกลืนลงไปเองทุกครั้งสิน่า) ดื่มน้ำก็เช่นกัน ควรจะดื่มทีละนิด อมไว้สักพักให้รู้สึกถึงความชุ่มชื้นแล้วค่อยแบ่งส่วนกลืนลงไป นอกจากจะเป็นการฝึกสมาธิที่ดีแล้วยังช่วยรักษาสุขภาพด้วย

ท้ายคาบพวกเรายังได้ทำแบบทดสอบเพื่อค้นหาจุดเด่นของตนเองด้วย จะได้รู้ว่าเรามีบุคลิกหรือลักษณะอะไรที่โดดเด่น อยากฟังผลแล้วเอิงเอย

ป.ล. ขอแถมจาก blog ที่แล้วหน่อย วันนี้เพลงใหม่ของอูทาดะเพิ่งออกมา เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Evangelion 2.0 ที่ฉายที่ญี่ปุ่นวันนี้วันแรกเช่นเดียวกัน แต่ปรากฎว่าไม่ใช่เพลงใหม่อะ เป็นเพลง Beautiful World ที่ใช้ประกอบหนังภาคแรกนั่นแหละ แค่เอามารีมิกซ์ใหม่ในสไตล์อะคูสติกร็อคซึ่งก็เก๋ไก๋ไปอีกแบบ รอเก้อเลยตู (จริงๆ อันนี้แสดงตัวอย่างของความขาดสติ เพราะตามข่าวที่ออกมาก็เปล่ามีตรงไหนบอกซะหน่อยว่าจะเป็นเพลงใหม่ แป่ว!)

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อูทาดะ - อันนี้นี่แหละ

ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามวิกาลที่จะเขียนถึงสุดที่รักของเรา เจ๊อู หรือที่รู้จักกันในนาม อูทาดะ ฮิคารุ, ฮิกกี้, อ้วนทาดะ, และอื่นๆ มากมาย อูออกอัลบั้มเพลงภาษาอังกฤษอัลบั้มใหม่แล้วววตั้งนานแล้ววว แต่เพิ่งมีอารมณ์ใฝ่จะเขียนถึงอะ สำหรับ blog นี้เราจะขอเขียนแบบ No rhymes, no embellishments, no adjectives. เพราะที่ผ่านมาเราชอบพยายามเขียนให้ดูเป็นมืออาชีพอย่างเช่น หลีกเลี่ยงการใช้สรรพนามแทนตัวเอง หรือไม่บางทีก็วางโครงเรื่องซะวิลิศมาหรา สุดท้ายก็เลิกเขียนไปซะงั้น มาคราวนี้เราจะขอเขียนสด ปราศจากเมคอัพใดๆ ทั้งสิ้น ขอฝากตัวด้วยครับ โอเนกาอิชิม้าาาสุ

ก่อนอื่นถ้าเห็นรูปนี้ด้วยแล้วอาการคลื่นเหียน ขอแสดงความเสียใจด้วยเพราะเราไม่มียาดมให้ยืม ถูกต้อง! มันคือหน้าปกอัลบั้มใหม่ของอู "อันนี้นี่แหละ" หรือ This Is The One นั่นเอง และไม่! เราไม่รู้ว่าต้นสังกัดมันคิดอะไรอยู่ ด้วยการปล่อยให้หน้าปกอัลบั้มโกอินเตอร์ของซูเปอร์สตาร์หญิงผู้มียอดขายอัลบั้มสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่นออกมาเป็นผลงานของเด็กประถม 1 วัดหนองอีแหนบผู้เพิ่งหัดใช้โฟโต้ชอปจากค่ายบิตไบต์เป็นเวลา 2 วันแบบนี้ นับว่าบุญแค่ไหนแล้วที่ตัวอักษรสีดำอ้วนๆ ที่เป็นชื่ออัลบั้มนั่นอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษพอดี น่าปลาบปลื้มซะจนอยากเอารองเท้าคาลวิน ไคลน์ลูบหน้าคนทำหน้าปกนี้แทนคำขอบคุณจริงๆ

ชื่นชมหน้าปกอัลบั้มมาพอหอมปากหอมคอ เรามาพูดถึงเนื้อในกันดีกว่า ขอเริ่มเก๋ๆ กับซิงเกิลเปิดตัว Come Back To Me อาร์แอนด์บีบัลลาดที่ mainstream รุนแรงเลือดสาด ทว่าแตกต่างและแข็งแกร่ง มาแรงมากๆ จนนับแค่แอร์เพลย์ในไทยก็สามารถส่งให้อูโด่งดังไปถึงภพหน้าได้สบายๆ ...หรือจะเถียง เราว่าอูทำเพลงบัลลาดได้น่าฟังมากๆ เมื่อเทียบกับข้อจำกัดของอัลบั้มนี้ เพลงอย่าง Apple & Cinnamon คือบัลลาดของอูภาคองค์อเมริกันลงด้วยบีทหนักๆ พร้อมคีย์บอร์ดเซ็งแซ่แบบเดียวกับเพลงฮิตทั้งหลายอย่างเช่น Bleeding Love หรือบัลลาดสุดแสนจะป๊อบร็อคอย่าง This One (Crying Like A Child) ที่อูใส่คำอย่าง blackberry, JPEG, hard drive ลงไปในเนื้อร้องได้ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำเสียงของอูในเพลงนี้จริงใจมากๆ จนถ้าคนที่กำลังมีประสบการณ์ใจร้าวได้ฟังล่ะก็อาจมีสะอื้น เราเองมีช่วงหนึ่งก็อินเพลงนี้มากเช่นกันจนเกือบๆ ฮือ... อ๊ะๆ อัลบั้มนี้ก็มีเพลงเร็วๆ ชักกระตุกๆ กับเขาด้วยนะ เลือกเอาว่าจะกระตุกแบบเนิบๆ เริงราตรีในปาร์ตี้แบบผู้ดีเขาทำกันกับ On & On หรือจะแดนซ์แบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับ Dirty Desire ที่ในเพลงนี้อูโชว์ของ ปลดปล่อยราคีราคะหื่นกามสุดพลังเพราะแม่เล่นจินตนาการถึง... ไม่เอาดีกว่า เขียนไปเดี๋ยวจะถูก ICT บล็อกเปล่าๆ เอาเป็นว่าต้องไปลองอ่านเนื้อเพลงเอาเองถึงจะรู้ซึ้งถึงความป่วงของเพลงนี้ นอกจากนี้ก็ยังมีแทรคแปลกๆ อย่าง Me Muero ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพลงโปรดในอัลบั้มของอู ชื่อเพลงเป็นภาษาสเปนแปลว่าฉันกำลังจะตายหะ แน่นอนว่าดนตรีมีกลิ่นอายสเปนอ่อนๆ ของบอสซาโนวาคลอเคล้าด้วยเสียงฟลุต แถมยังแปลกหนักเข้าไปอีกกับเนื้อท่อนที่ร้องว่าฉันนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียงหม่ำช็อกโกแลตยี่ห้อโกดิว่า ...มิน่าถึงอ้วน และสุดท้ายท้ายสุดเพลงโปรดของเรา Merry Christmas Mr. Lawrence - FYI ชื่อยาวได้อีกอย่างนี้ก็เพราะอูแซมเปิลผลงานในชื่อเดียวกันของมือเปียโนชั้นครู Ryuichi Sakamoto สำหรับเราเพลงนี้คือคำนิยามของการแซมเปิลงานคนอื่นที่ศิลปินทั้งหลายพึงกระทำ ผลงานเดิมคือมาสเตอร์พีซอันเกิดจากเมโลดี้เปียโนง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของความเป็นเอเชีย อูจัดแจงเอามาเพิ่มทำนอง แต่งเนื้อร้อง เรียบเรียงดนตรีบ้างอะไรบ้างจนออกมาเป็นเพลงใหม่ที่เก๋ไก๋ได้โล่ไม่แพ้กัน บีทของเพลงนี้ลงตัวที่สุดในสามโลกเพราะมันเป็นเออร์บันบีทที่สุดจะทันสมัยอันเป็นผลมาจากส่วนผสมอันกลมกล่อมของกลองแต๊ก เครื่องสาย และเสียงถอนหายใจของอู ยิ่งมาจับคู่กับเปียโนเพราะขั้นเทพแล้ว ซูอาเว่... นิพพานกันก็วันนี้ ส่วนอูร้องว่าอะไรไม่สำคัญแล้วเพราะแค่นี้เพลงนี้ก็มีแต่เกิด เกิด เกิด

ความพยายามครั้งที่สองของอูครั้งนี้สำหรับเรามันคือความเลิศ หลังจากอกเดาะดังเป๊าะกับอัลบั้มแรกอย่าง Exodus ที่อูต่อมติสต์แตกซ่านทำเพลงดีแต่กลับยากหยั่งถึง อูกลับมาอีกครั้งพร้อมความมั่นใจเพิ่มพูนกับความหวังที่หนูจะดัง หนูจะดังในบ้านเกิดของเธออย่างอเมริกา "อันนี้นี่แหละ" จึงนับเป็นอีกก้าวที่น่านับถือของศิลปินสาวผู้นี้ที่ยอมเสียสละความปรารถนาส่วนตัวและยอมให้เหตุผลทางการตลาดเข้ามามีอิทธิพลกับงานเพลงของเธอมากขึ้น เราเชื่อและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกไม่นานเกินรอ ชื่ออัลบั้มนี้คงจะยาวกว่าเดิมเป็น "อันนี้นี่แหละ ...ที่ทำให้อ้วนดังในอเมริกา" รักนะ จุ๊บุ จุ๊บุ

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เป้าหมาย

วิชา Innovative Thinking คาบล่าสุดนี้ได้เรียนเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมาย ตามลักษณะของมหาบุรุษ 5 ประการที่อาจารย์ได้สอนไว้ซึ่งได้แก่ ความมุ่งหมาย ความเป็นผู้มีจิตใจเข้มแข็ง มโนมยิทธิ ความเชื่อมั่นในตนเอง และสมาธิ การตั้งเป้าหมายก็เลยเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการเดินทางสู่ความสำเร็จ กิจกรรมที่เราได้ทำกันในคาบนี้ก็คือเขียนเป้าหมายระยะสั้น เป้าหมายระยะยาว และเป้าหมายสูงสุด เพราะเชื่อว่าเมื่อเขียนสิ่งที่ใฝ่ฝันลงไปในกระดาษ แล้วหยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจอยู่เสมอ และสักวันก็จะทำตามฝันได้สำเร็จ

นี่เองก็เลยเรียกว่าเป็นกระบวนการการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์วิธีหนึ่ง เรียกว่า Affirmation สรุปความหมายสั้นๆ ได้ใจความว่า Fake it until you make it. หลอกตัวเองไปจนทำได้จริงเข้าสักวัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจทีเดียว

ในคาบ อาจารย์ธงชัยเล่าว่าเคยไปซื้อ Peptein มาดื่มแล้วรู้สึกหายง่วง เพราะ Soy Peptide ที่เป็นส่วนประกอบนั้นมีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อนำประสาท ทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น (รู้สึกเหมือนแอบโฆษณาให้เขาเลย) ฟังแล้วก็อยากซื้อมาดื่มก่อนสอบบ้างอะไรบ้าง จะได้ฟิตปั๋ง คิดออก ทำข้อสอบได้ แต่ประเด็นคือขวดเล็กยังตั้ง 70 กว่าบาทแถมรสชาติไม่เอาอ่าวอีกต่างหาก ...น้ำเต้าหู้น่าจะพอแทนกันได้นะ

ขอนอกเรื่องนิด พอเรียนจบคาบเพื่อนที่บัญชีก็โทรมาตามให้ไปช่วยงานหน่อย ไอ้เราก็นึกว่างานอะไร ปรากฎว่าเป็นงานปฐมพยาบาลน้องเฟรชชี่ในวันปิดห้องเชียร์ พร้อมกันนั้นก็มีเพื่อนที่เรียนหมอ 2 คนมาช่วยด้วยอีกต่างหาก (ทั้งหมดนี้เป็นเพื่อนห้องเราตอน ม. ปลาย) ตอนแรกนึกว่าจะนั่งว่างๆ ที่ไหนได้น้องป่วยกันเพียบราวกับอุปทานหมู่เป็นลมเพราะได้พบพี่เบิร์ด เรียกว่าหามกันมาตลอดเกือบๆ 5 ชั่วโมง มีทั้งเป็นลม Hyperventilation (อันนี้ศัพท์ใหม่เพิ่งรู้ เป็นอาการขาดคาร์บอนไดออกไซด์) แขนขาชา ชัก แต่ที่เด็ดสุดก็นี่เลย หูดับ! คือประมาณว่าหูหนวกชั่วขณะ ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไว้เดี๋ยวหายเอง แถมน้องๆ ทุกคนที่ป่วยก็ช่างมีสปิริตแรงกล้า พอหายป่วยปุ๊บก็ร้องกระจองอแงจะกลับไปช่วยเพื่อนร้องเพลงเชียร์ต่อ ไอ้เราเห็นแล้วก็ปลาบปลื้ม เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอที่ต้องมาเป็นพยาบาลจำเป็นแบบนี้ สนุกดี

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Up Blog

เพิ่งได้ดูหนังอนิเมชั่นของพิกซาร์เรื่องล่าสุด Up แล้วประทับใจมากมายก่ายกอง แต่จะว่าไปเราก็ประทับใจมันทุกเรื่องอะนะหนังพิกซาร์เนี่ย

เต็มอิ่มกับปรัชญาชีวิตแบบผู้ใหญ่กับบทหนังที่ลงตัวที่สุดชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ใน Ratatouille

หลงใหลไปกับนิยามความรัก การผจญภัย และสุดยอดการออกแบบตัวละครของสองหุ่นยนต์หัวใจโต๊โตพร้อมเหล่าผองเพื่อนใน WALL·E

ล่าสุดก็นี่เลยจ้า Up

ที่เอาโปสเตอร์หนังเวอร์ชั่นนี้มาลง ก็เพราะว่าเรารักตัวละครตัวนี้จังเล้ย โฮ่งๆ (ในรูปนี้ใส่ปลอกคอหมาจ๋อย)

มันชื่อ Dug เป็นน้องหมาพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์แสนรู้แถมพูดได้ด้วยเพราะว่ามันติดปลอกคอแปลภาษา แน่นอนเราชอบมันเพราะเรารักหมา แต่ที่ถูกใจเป็นพิเศษก็คือทางทีมงานเขาศึกษาพฤติกรรมสัตว์มาดีมากเลย เพราะโดยธรรมชาติแล้วน้องหมาพันธุ์นี้จะเป็นมิตรมากกก เรียกว่าเป็นมิตรจนเกินเหตุขนาดว่าเจอโจรเข้าบ้านมันยังไปจะเล่นกับเขาแทนที่จะเห่าไล่ล่ะคิดดู แล้วก็มีนิสัยแอคทีฟ แสนจะลุกลี้ลุกลน ไฮเปอร์นั่นเอง นิสัยเหล่านี้ล้วนสะท้อนลงในคำพูดของเจ้า Dug เรียกว่าถ้าน้องหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์เกิดจะพูดภาษาคนขึ้นมาได้จริงๆ มันจะต้องพูดแบบนี้แน่นอน ประโยคเด็ดสุดโดนใจได้แก่ตอนที่เจ้า Dug พบกับคุณปู่ Carl เป็นครั้งแรกมันพูดว่า "My name is Dug. I have just met you, and I love you." 555+ น่าร้ากกกง่ะ

มาว่าต่อกันที่ตัวหนังบ้าง มันเป็นหนังที่ดีมาก คอมเฟิร์ม ข้อแรกเลยคือเทียบกับหนังพิกซาร์เรื่องอื่นแล้วมันตลกมากกก คือจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งในหนังเรานั่งขำเป็นวรรคเป็นเวร ประมาณว่าจะตาย ไม่ไหวแล้ว เพราะมุกมันมาแบบติดๆ กันเป็นซีรี่ย์ ทั้งหมาทั้งนกทั้งเด็ก หัวเราะกันแทบเป็นลมเลยทีเดียว อีกข้อคือมันเป็นหนัง coming of age หรือหนังที่แสดงการก้าวผ่านวัยต่างๆ ของตัวละคร ที่ซึ้งกินใจจนแทบไม่อยากเชื่อว่านี่มันการ์ตูนนะ คนดูอย่างเราต้องคอยสำรวจเรื่องราวชีวิตพร้อมทั้งเอาใจช่วยตัวละครทั้งหลายซึ่งนำมาสู่บทเรียนชีวิตมากมายให้ร่วมซาบซึ้งและนำไปขบคิด ตอนต้นเรื่องก็เลยเกือบจะป้อยไปหนึ่งรอบ ยิ่งตอนท้ายๆ นี่มาอีกหลายๆ ทีจนแบบปริ่มๆ แล้ว แต่ยังไม่ไหลนะ อิอิ (หมายถึงน้ำตาจ้ะ ห้องน้ำน่ะเข้าแล้วก่อนเข้าโรง)

อย่างไรก็ตามมันยังไม่คมคายเพียงพอ คือด้วยความที่มันเป็นการ์ตูน ขอบเขตให้เล่นสนุกมันจึงขยายกว้างกว่าหนังทั่วไปซึ่งเรื่องนี้ใช้ซะเกือบสุด ช่วงหลังๆ เลยรู้สึกว่าหนังทำตัวขบขันเกินงามไปนิด จนทำให้ภาพรวมสูญเสียความสมบูรณ์ไปนิดหน่อย แต่เราคิดว่ามันยังดูสนุกกว่า Ratatouille ที่แม้จะงดงามลงตัวมากเพียงใดแต่ถ้าเด็กเข้าไปดูอาจมีหลับ นับว่าดูสนุกและอยากดูซ้ำได้พอๆ กับ WALL·E นั่นก็เพราะความน่าหลงใหลของตัวละคร เราขอยกย่องพิกซาร์เลยสำหรับการออกแบบตัวละครให้เป็นที่รักของคนดูได้เข้าขั้นเมพขิงๆ

สรุปสั้นๆ ว่า ณ จุดนี้ ปลาบปลื้ม Up มากๆ ขอแนะนำให้ไปดูกันโดยถ้วนหน้าเด้อขรั่บเด้อ

ป.ล. รักน้องหมา Dug จังเงย

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พันโทอานันท์ ชินบุตร

วิชา Innovative Thinking วันนี้ได้รับเกียรติจากพันโทอานันท์ ชินบุตรมาบรรยายให้นิสิตผู้มีหอพักอยู่ฟังกัน ได้รับความรู้มากมาย ได้รับกำลังใจเป็นกอง

ท่านพันโทเรียนจบจากจปร. แล้วก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ท่านมีงานบรรยายและแปลหนังสือมากมาย ส่วนมากเกี่ยวกับแนวทางในการประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น NLP หรือ Neuro-Linguistic Programming แต่เผอิญวันนี้ไม่ได้บรรยายเน้นที่เรื่องนี้หรอก ...อ้าว เราจะบอกทำไม

ระหว่างการบรรยายก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมายอย่างหลัก 5D ที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จ คล้ายๆ กับอิทธิบาท 4 เรื่องเล่าต่างๆ เช่นประวัติของเอดิสัน การเป็นนักคิดที่ริเริ่มจากจุดเล็กๆ แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติและแรงใจอันใหญ่หลวงเพื่อดำเนินรอยตามความคิดนั้น ไหนจะยังองค์ประกอบ 4 อย่างคือ body, mind, emotion, และ spirit ที่เราควรทำความเข้าใจและเอาใจใส่อย่างเท่าเทียม เพื่อให้เราประสบความสำเร็จ เหล่านี้ก็เป็นความรู้ใหม่ๆ ที่จะนำไปจุดประกายความคิดให้แน่วแน่ทำความฝันที่ตั้งไว้ให้สำเร็จ

เราว่าสิ่งที่ได้ฟังวันนี้เป็นประโยชน์มากๆ ในช่วงนี้ของชีวิต นิสิตผู้มีหอพักอยู่ (พอเหอะมุกนี้) ชั้นปี 4 ทุกคนก็ต้องเริ่มวางแผนอนาคตตัวเองแล้วว่าจะไปทำอะไรต่อไป อย่างเรานี่ขอแค่ตอนนี้สอบโทเฟลให้ผ่านก่อนก็ปลาบปลื้มแล้ว เรียนเสร็จวันนี้ปุ๊บมีกำลังใจขึ้นมากมาย ถึงเวลาจะต้องฟิตได้แล้ว ไฟ้โตะ! แต่เริ่มพรุ่งนี้แล้วกัน สำหรับวันนี้ขอนอนก่อน 555+

ประโยคทิ้งท้ายวันนี้ When the flames are burning hot, they take you higher. เอามาจากเพลงประกอบหนัง Top Gun นั่นแหละ เป็นข้อคิดได้ดี แถมแต่งได้ดีจัง เปรียบเครื่องบินกับคนทำตามฝันได้ดี

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Softbank

Softbank เป็นบริษัทขายโทรศัพท์มือถือที่ญี่ปุ่น เขามีโฆษณาที่น่าสนใจมาก เคยทั้งดึงตัวดาราฮอลลีวูดดังๆ ทั้งแบรด พิทท์ แล้วก็แคมเมรอน ดิแอซ มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ แต่โฆษณาชุดที่โด่งดังยาวนานสุดๆ เรียกว่าเห็นได้ทั่วไปเลยทั้งตามป้ายโฆษณา หรือจะเป็นโฆษณาทีวี เห็นจะเป็นเรื่องราววุ่นๆ ของครอบครัว The Whites นี่แหละ ซึ่งครอบครัวนี้ประกอบด้วย ลูกสาวชาวญี่ปุ่นทำงานเป็นพนักงานขายของ Softbank, ลูกชายเป็นคนดำ?! ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน, คุณแม่เป็นแม่บ้านชาวญี่ปุ่น, และคุณพ่อเป็นหมาสีขาว!!!

ตามป้ายโฆษณาตามที่ต่างๆ เช่น ย่านชอปปิ้ง สถานีรถไฟ หรือบนขบวนรถไฟ ก็จะมีรูปคุณพ่อหมา (ตัวจริงชื่อไคคุง ซึ่งโด่งดังมากมาย กลายเป็นมาสคอตของแบรนด์ไปแล้ว) แต่งตัวต่างๆ นานาตามแคมเปนโฆษณาในช่วงเวลานั้นๆ อย่างอาจจะใส่ชุดนักเบสบอล บางทีก็สวมหมวกตำรวจ เรียกว่าใครได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นต้องได้เห็นหน้าค่าตาคุณพ่อหมาสักครั้งหนึ่งแน่นอนเลยทีเดียว งั้นมาลองดูโฆษณาที่ฉายตามฟรีทีวีบ้างดีกว่า มีซับไตเติลนะ จะได้ดูรู้เรื่อง ตลกมาก น่ารักดี


แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องสนใจกับไอเดียสุดบรรเจิดแบบนี้ นับเป็นแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมของเขานะ เพราะจริงๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครอบครัว The Whites ต้องมีสมาชิกแต่ละคน (ตัว) พิสดารถึงเพียงนี้ แต่ประเด็นก็คือสุดท้ายแล้วแค่ทำให้คนสนใจและจดจำสินค้าได้ เท่านี้ก็บรรลุจุดประสงค์แล้วเนอะ

ป.ล. ลืมบอก น้องหมาบนหัว blog นี้ก็ไม่น่าจะเดายากนะว่าไปเอามาจากไหน

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Stop This Train

วันนี้มีเพลงความหมายดีมากๆ มาฝาก เป็นหนึ่งในเพลงที่ส่วนตัวแล้วเราคิดว่ามีเนื้อเพลงที่ถูกแต่งออกมาได้งดงามและลงตัวที่สุด ลองอ่านดูนะ แปลได้ตรงๆ เลย เข้าใจง่าย


Stop This Train - John Mayer


No I'm not color blind

I know the world is black and white

Try to keep an open mind but...

I just can't sleep on this tonight


Stop this train I want to get off and go home again

I can't take the speed it's moving in

I know I can't

But honestly won't someone stop this train


Don't know how else to say it, don't want to see my parents go

One generation's length away

From fighting life out on my own


Stop this train

I want to get off and go home again

I can't take the speed it's moving in

I know I can't but honestly won't someone stop this train


So scared of getting older

I'm only good at being young

So I play the numbers game to find away to say that life has just begun

Had a talk with my old man

Said help me understand

He said turn 68, you'll renegotiate

Don't stop this train

Don't for a minute change the place you're in

Don't think I couldn't ever understand

I tried my hand

John, honestly we'll never stop this train


See once in a while when it's good

It'll feel like it should

And they're all still around

And you're still safe and sound

And you don't miss a thing

'til you cry when you're driving away in the dark.


Singing stop this train I want to get off and go home again

I can't take this speed it's moving in

I know I can't

Cause now I see I'll never stop this train


(think I got 'em now)


เพลงนี้พูดถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่ง (ตัวนายจอห์นนั่นเอง) ที่ยังรู้สึกไม่พร้อมกับการเจริญเติบโตของชีวิตที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มากมาย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนเขารับไม่ทัน เขายังไม่พร้อมจะออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง โดยปราศจากครอบครัวของเขา ...ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง เขาอยากจะลงแต่แน่นอนว่าลงไม่ได้

หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับชายชราคนหนึ่ง (อาจจะหมายถึงพ่อของเขาเองหรือเปล่า อันนี้ไม่รู้) ชายชราบอกว่าแล้วเขาจะเข้าใจเองเมื่อแก่ตัวลง และจงใช้เวลาบนรถไฟขณะนี้อย่างคุ้มค่าและมีสติ ชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามรอบกาย เพราะท้ายที่สุดแล้วมีความจริงอยู่เพียงอย่างเดียวนั่นคือ... รถไฟขบวนนี้จะไม่มีวันหยุดวิ่ง

เราติดตามผลงานของ John Mayer มานานพอสมควรแล้วล่ะ เขาเป็นศิลปินที่แต่งเพลงได้น่าสนใจมากๆ นี่ยังไม่รวมถึงที่เขาเล่นกีตาร์เองอะไรเอง เพลงของเขาสะท้อนถึงวิถีชีวิต ค่านิยม ความสัมพันธ์ และความฝันของอเมริกันชนผ่านแนวดนตรีตั้งแต่อะคูสติกเบาๆ คันทรีย์ ไปยันโซล บลูส์จัดๆ แบบคนผิวสีเลยทีเดียว และสำหรับเพลงนี้ Stop This Train อยู่ในอัลบั้ม Continuum ที่ออกมาในปี 2006 เราขอยกย่องให้เป็นเพลงที่มีเนื้อที่ดีที่สุดของเขาเลย เพราะไม่เพียงแต่จะแฝงข้อคิดและปรัชญาชีวิตแล้ว ถ้าลองฟังดูจะรู้ว่าเนื้อเพลงแต่ละท่อนถูกนำไปใส่ในเมโลดี้ของเพลงอย่างลงตัวสุดๆ โดยเฉพาะท่อนคำพูดของชายชราที่ลงจังหวะพีคสุดของเพลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ ...ฟังแล้วขนลุกเลยล่ะ

พล่ามอย่างเดียวคงไม่รู้ เพราะงั้นฟังเลย...

หวังว่าเพลงนี้จะให้ข้อคิดอะไรในการใช้ชีวิตได้ไม่มากก็น้อยนะ

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Innovative Thinking: First Class

ว้าวๆ ประเดิม blog ใหม่เลย ตื่นเต้นจัง

คาบแรกของการเรียนวิชา Innovative Thinking 2009 (ชื่อวิชาเปรี้ยวได้โล่ ยังกับไข้หวัดแหนะ) แน่นอนเลยว่าทำให้เราได้ทำความรู้จักวิชานี้ ...แบบลึกซึ้งเลยล่ะ รู้สึกดีที่เลือกลงวิชานี้เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นอะไรที่แตกต่าง ไม่คาดคิดว่าจะได้เรียนอะไรแบบนี้เป็นวิชาภาคล่ะนะ

เริ่มจากวิชานี้มีกฎอะไรแปลกๆ มากมายเลย...

อย่างต้องกุลีกุจอยกมือตอบ เพราะมีคะแนนการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนให้ทุกคาบ แบบนี้เราไม่ชินเลย แต่แหงล่ะ เด็กไทยส่วนใหญ่ใครจะชิน

หรืออย่างนิสิตคนไหนนั่งแถวหลังสุดแสดงว่าเข้าห้องช้า จะไม่มีสิทธิ์ร่วมวงสนทนากับชาวบ้านเขา อืม... แปลกดีอะ คาบหน้ากะว่าจะไปจองที่ตั้งแต่เที่ยงเลย 555+

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เข้าใจว่าเพื่อกระตุ้นให้นิสิตมีความกระตือรือร้นมากขึ้นแหละเนอะ เราหวังว่าพอเรียนจบคอร์สแล้ว ตัวเราคงจะมีการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นบ้างล่ะ

ไหนจะยังกิจกรรมต่างๆ ในห้องที่เอ่อ... แบบว่า... ชอบอะ

อย่างพยายามเขียนศัพท์คอมพิวเตอร์ A-Z ภายในเวลา อันนี้มันส์มาก แอบภูมิใจในตัวเองที่เขียนได้เยอะกว่าที่คิด เพราะปกติเราจะไม่ sensitive กับเรื่องแบบนี้ เราไม่มีทางเข้าใจความงามของมัน

หรือที่ต้องวาดรูปมนุษย์ต่างดาว กับวาดรูปโดยใช้มือขวา อันนี้ก็ทำเราแปลกใจเพราะปกติจะชอบวาดรูปมาก แต่มาคราวนี้วาดไม่ค่อยออกแฮะ งงๆ (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะอยากเข้าห้องน้ำมาก ณ เวลานั้น)

กิจกรรมทั้งหลายนี้ก็ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเรา หรืออย่างน้อยก็ให้ข้อคิดบางอย่างที่เราไม่เคยตระหนักถึง คงจะสนุกดีถ้ามีอะไรขำๆ ให้เล่นแบบนี้ทุกคาบ ปลาบปลื้มมาก ณ จุดนี้

นอกจากนี้ก็มีการบรรยายเนื้อหาสาระต่างๆ อย่างคำคมจากบุคคลสำคัญของโลกที่ให้ข้อคิดได้ไม่มากก็น้อย (น่ายืมเอาไปส่งรายการของกาละแมร์ เผื่อได้ของรางวัล) หรือคุณลักษณะของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ที่ระหว่างฟังเราก็แอบเอามาเทียบกับตัวเองนะ ตรงบ้างไม่ตรงบ้าง ว่ากันไป แล้วยังมีบรรดานวัตกรรมล้ำยุคต่างๆ ที่เห็นแล้วก็ โห... คิดได้ไง เก่งจริงจัง

ทั้งนี้ทั้งนั้นยังแอบกระซิบกับเพื่อนเลยว่า อ.ธงชัย เหมาะกับตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนด้วยประการทั้งปวง (แอบประจบ 555+) เพราะอาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีของการปฏิบัติตนแบบผู้มีความคิดสร้างสรรค์ อาจารย์ active มาก และที่สำคัญคือ ดูเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ ...ว่าไปนั่น

นี่กลายเป็นวิชาที่เราคิดว่าจะชอบค่อนข้างแน่ เพราะคงจะดีถ้าในวันศุกร์บ่าย ได้เรียนวิชาชิวๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดของการเรียนคอมพิวเตอร์มาทั้งสัปดาห์ ราวกับได้นั่งเที่ยวบินชั้นประหยัด เอ้ย! ต้อง first class สิ กลับจากการทำงานอันแสนเหนื่อยเหน็ด (ฝันเฟื่องจริงๆ) อา... smooth as silk

ยังไงเราจะตั้งตารอความตื่นเต้นที่จะเกิดขึ้นในคาบต่อๆ ไปนะ ไจ้เจี้ยน...