วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Request For Comment

1. ท่านเรียนรู้อะไรบ้างจากการฝึก Juggling
ผมได้เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยากเกินไปถ้าเพียงได้ลองทำ ผมไม่เคยคิดว่าจะโยนลูกบอล 3 ลูกโดยมือแค่สองข้างได้ในเวลาเดียวกัน แต่การฝึก Juggling ก็พิสูจน์แล้วว่าผมสามารถทำได้ถ้าเริ่มทำและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าตอนนี้ผมจะยังโยนได้ติดต่อกันไม่กี่ครั้ง แต่นี่ก็นับว่ามากเกินกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าไม่มีทางทำได้แน่นอน ผมยังเรียนรู้อีกว่าก้าวแรกของการทำสิ่งใดๆ ย่อมต้องเกิดความผิดพลาด เช่นในการฝึก Juggling ครั้งแรกที่ลองโยน 3 ลูกเลยก็พบว่าจะทำลูกตกอยู่เสมอ จึงต้องฝึกโดยลองโยนอย่างเดียวยังไม่ต้องใส่ใจกับการรับ หลังจากนั้นพอโยนคล่องแล้วจึงค่อยฝึกการรับอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้การฝึก Juggling ยังต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก เพราะทุกครั้งที่ทำลูกหล่นก็ต้องก้มลงไปเก็บ ฝึกแค่ไม่กี่นาทีก็ทำให้เหนื่อยได้เหมือนกับการออกกำลังกาย

2. ท่านชอบเนื้อหาหรือกิจกรรมใดมากที่สุด โปรดให้เหตุผล
ผมชอบกิจกรรมการนำเสนอที่ TCDC มากที่สุด เนื่องจากได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศการเรียนนอกสถานที่ ได้มีโอกาสเรียนรู้จากนวัตกรรมและงานออกแบบที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์จริงๆ และพวกเราต้องทำงานเป็นกลุ่มในเวลาจำกัดเพื่อรวบรวมข้อมูลและทรัพยากรให้ได้มากที่สุด แล้วนำมาประกอบและสร้างเป็นแนวคิดใหม่ๆ จึงเป็นการเรียนที่แปลกใหม่มากสำหรับผม นอกจากนี้ในการนำเสนอ ผมยังได้มีโอกาสเป็นตัวแทนกลุ่มออกไปพูด ซึ่งสำหรับผมที่ปกติแล้วเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกในที่สาธารณะ นี่นับเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะผมได้ออกไปพูดหน้าชั้นเรียนกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งช่วยผมได้มากในการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองและปราศจากความเครียด เหมือนมายืนเล่าเรื่องสนุกๆ กันสองคน พูดได้แบบไม่ต้องคิดมากและหัวเราะได้โดยไม่ต้องอายอะไร สำหรับผมการเรียนครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุขและได้ลองทำอะไรใหม่ๆ มากมาย

3. ท่านคิดว่างานมอบหมายในวิชานี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับวิชาอื่นโดยเฉลี่ย โปรดให้เหตุผล
ผมคิดว่างานในวิชานี้เท่ากับวิชาอื่น แม้ว่าดูเหมือนจะมีงานมากกว่า แต่นั่นเป็นเพราะวิชานี้ไม่มีการสอบทั้งกลางภาคและปลายภาค ทำให้ในช่วงสอบผมสามารถทุ่มเทกับการอ่านหนังสือสำหรับวิชาอื่นได้เต็มที่ สำหรับงานย่อยๆ ที่มีตลอดเทอม รวมถึง Blog ที่ต้องเขียนทุกสัปดาห์ก็ถือว่าเป็นงานปริมาณที่มากกว่าวิชาอื่นเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นงานที่ทำให้เสร็จได้โดยใช้เวลาไม่นานมากนัก ส่วนโครงงานทั้งเดี่ยวและกลุ่มก็เปรียบเสมือนเป็นงานที่ต้องส่งแทนการสอบปลายภาค ซึ่งก็มีความเหมาะสมดีแล้ว

4. จงอ่านบทความเรื่อง "บทเรียนจากเบิร์กเล่ย์" และเสนอกลยุทธ์ในการพัฒนาตนเองเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ข้อ
กลยุทธ์ข้อแรกคือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ เป็นการลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป คนเรามักจะเคยชินกับการปฏิบัติตัวแบบเดิมๆ เป็นเหตุให้เมื่อถูกบังคับให้ทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำก็จะไม่กล้า ไม่ชอบ และยอมแพ้ในที่สุด การลองแวะไปทำอะไรแปลกๆ เริ่มจากนานๆ ครั้ง แล้วค่อยพัฒนาไปเป็นพฤติกรรมที่คุ้นชินและทำเป็นนิสัยก็จะแก้ปัญหาความกลัวนี้ได้ เช่น จากที่ปกติเป็นคนสนใจแต่เรื่องบันเทิง เล่นอินเตอร์เน็ตทุกครั้งก็เข้าไปอ่านแต่เรื่องดูหนังฟังเพลง ก็ลองเข้าไปอ่านข่าวสังคม เศรษฐกิจบ้างวันละครั้ง อาจเริ่มจากประเด็นใกล้ตัวที่สนใจ แล้วค่อยขยับไปอ่านข่าวในหมวดอื่นๆ จนในที่สุดก็จะได้รับรู้ข่าวสารทุกหมวดหมู่อย่างครบถ้วน และไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไปในการสนทนา หรือการทำงานที่ต้องอาศัยข้อมูลในด้านอื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้ชอบ
อีกกลยุทธ์คือ พยายามมองสิ่งต่างๆ รอบตัวและใช้สมองในการคิดให้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ในทุกๆ กิจกรรมประจำวัน เช่น เมื่อนั่งรถไปเรียนหรือไปทำงาน ก็ลองมองสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น สังเกตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตามสิ่งก่อสร้าง ข้อความบนป้ายโฆษณา ผู้คนที่เดินไปเดินมา แล้วคิดถึงสิ่งที่มองเห็นให้ลึกลงไป เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการฝึกสมองให้ได้ทำงานอยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้แนวคิดใหม่ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการทำงาน หรือเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในบางครั้งที่กำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ก็ตาม การมองดูสิ่งต่างๆ รอบตัวและนำมาคิดก็อาจจะนำมาซึ่งหนทางแก้ไขปัญหาที่คิดไม่ตกนั้นก็ได้

5. ท่านคาดว่าจะได้รับเกรดอะไร จงให้เหตุผลอย่างละเอียด
ผมคาดว่าจะได้รับเกรด A เพราะผมเข้าเรียนวิชานี้ทุกครั้ง และในชั้นเรียนก็ให้ความสนใจในบทเรียนตลอดเวลา และพยายามมีส่วนร่วมในการตอบคำถามและเสนอความคิดเห็นอย่างสม่ำเสมอ ในกิจกรรมกลุ่มก็มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดใหม่ๆ และแม้จะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็มักจะอาสาเป็นตัวแทนออกไปนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนบ่อยๆ การบ้านก็ทำเสร็จสมบูรณ์และส่งในเวลาทุกครั้ง รวมทั้งเขียน Blog ตามที่กำหนดครบถ้วนทุกสัปดาห์ สำหรับโครงงานเดี่ยวผมก็ทุ่มเทใช้เวลาในการทำนานมากเพราะเป็นสิ่งที่ผมชอบและตั้งใจจะทำออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และในโครงงานกลุ่มผมก็มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการทำ ตั้งแต่เสนอความแนวคิดจนถึงลงมือปฏิบัติให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ผมคิดว่าผมได้แสดงออกถึงความตั้งใจ เอาใจใส่ และทุ่มเทอย่างเต็มที่ในทุกๆ องค์ประกอบของการเรียนวิชานี้ จึงคิดว่าน่าจะได้เกรด A

6. ถ้ามีวิชา Innovative Thinking II ท่านต้องการเรียนเนื้อหาอะไร
ผมอยากให้มีการสอนเกี่ยวกับงานออกแบบที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก ไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะศาสตร์ที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือวรรณกรรมวิทยาศาสตร์เท่านั้น อาจจะเป็นด้านศิลปะ สื่อสิ่งพิมพ์ นิยาย โฆษณา ดนตรี และอื่นๆ อะไรก็ได้ เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักบูรณาการแนวคิดจากศาสตร์หลายๆ แขนงมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังแนะนำให้จัดการเรียนการสอนนอกสถานที่ให้บ่อยยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้บรรยากาศในการเรียนเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้ง และมีความน่าตื่นเต้นและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียนมากยิ่งขึ้น

7. ถ้าท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ท่านจะตั้งคำถามอะไรและจะตอบอย่างไร
คำถาม: ถ้าในการเรียนการสอน เปลี่ยนการฝึก Juggling เป็นการฝึกของเล่นเสริมทักษะชนิดอื่น ท่านคิดว่าควรจะเปลี่ยนเป็นอะไร
คำตอบ: ผมคิดว่าน่าจะให้ผู้เรียนลองฝึกควงปากกา เนื่องจากสามารถหาปากกามาฝึกได้เลยโดยไม่ต้องไปซื้อ นอกจากนี้ยังทำให้ผู้เรียนนำไปใช้จริงได้บ่อยกว่า เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอเพียงมีปากกาก็สามารถจะฝึกได้ ผมจึงคิดว่าผู้เรียนจะได้มีโอกาสฝึกฝนได้บ่อยครั้งกว่า รวมถึงประหยัดและง่ายกว่าอีกด้วย หรืออาจให้ผู้เรียนฝึกพับเครื่องบินกระดาษให้ลอยอยู่ในอากาศให้ได้นานที่สุด เป็นกิจกรรมที่นำเอาองค์ความรู้ทางวิศวกรรมมาใช้ได้จริง สำหรับผมแล้วคิดว่านี่เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมาก

But that's not the shape of my heart.

ผ่านไปแล้วกับการเรียน Innovative Thinking ครั้งสุดท้าย...

อาจารย์เล่าประสบการณ์การไปเข้าร่วมการบรรยายของคุณ Tony Robbins ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่รู้จักอยู่แล้วตามสไตล์ แต่มีแว่บนึงที่เห็นโปสเตอร์ของงานจากรูปถ่ายของอาจารย์ก็เริ่มระลึกชาติได้ เห้ย! เราเคยเห็นตานี่นี่หว่า ใช่แล้วๆ เค้าเคยเล่นหนังเรื่อง Shallow Hal เล่นเป็นตัวเอง คือเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังอะ ทีนี้พระเอกของเราซึ่งก็คือ Jack Black มันไปฟังบรรยายของเขา ก็เลยประมาณว่าถูกล้างสมองหน่อยนึง มองอะไรเปลี่ยนไปหมดคือมองคนที่ภายใน คนไหนหน้าตาดีแต่นิสัยแย่ พระเอกเราก็จะเห็นเป็นหน้าตาเห่ยไป แต่ถ้าคนไหนจิตใจดี ถึงจะหน้าแน่ก็จะเห็นว่าหน้าตาดี เรื่องมีอยู่ว่าพระเอกไปตกหลุมรักสาวสวยมากๆ คนนึงเข้า แต่ความจริงแล้วเธอคนนั้นอ้วนเป็นตุ่มแตกเลยล่ะ แล้วถ้าเกิดพระเอกหายจากการถูกล้างสมองของคุณร็อบบินส์แล้วเขาจะยังหลงรักนางเอกตามรูปร่างหน้าตาจริงๆ มั๊ยหนอ... พล่ามยาวมาก แต่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลย บรรยากาศในงานที่อาจารย์เอามาให้ดูก็น่าสนใจดี ดูไม่เหมือนงานสัมมนาทั่วๆ ไป เพราะทุกคนดูแอคทีฟกันมากมาย มีกอดกัน เต้นตามเพลงเลดี้กาก้า และอื่นๆ ครื้นเครงมากมาย ทีเด็ดคือการละเล่นนารีลุยไฟ ชาบูๆ กันสนุกสนาน ...ซะที่ไหนล่ะ นี่เป็นการฝึกให้เผชิญหน้าความกลัวต่างหากล่ะ เพราะทุกคนต้องถอดรองเท้าเดินข้ามถ่านร้อนๆ ซึ่งฟังดูน่าสยดสยองเล็กน้อย แต่ก็ดูจะผ่านกันไปได้ดี ขำที่อาจารย์ธงชัยบอกว่าแม่ม! โคตรร้อน อารามรีบเดินจนลืมท่องอะไรที่เค้าสอนมาหมดเลย

หัวข้อการเรียนครั้งสุดท้ายก็คือการก้าวข้ามกับดักของผู้เชี่ยวชาญ ประโยคที่สรุปใจความการเรียนเรื่องนี้ได้ดีก็คือ "In beginner's mind there are many possibilities. In expert's mind there are only few." ก็หมายความว่ายิ่งเรารู้มากเท่าไร เราก็ยิ่งตีกรอบตัวเองด้วยความรู้เหล่านั้นมากขึ้น เพราะเรารู้แล้วว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ด้วยความรู้ที่เรามี ฟังดูน่าเศร้าแต่มันก็ไม่ใช่สัจนิรันดร์หรอก เพียงแต่เราลองเปิดใจให้มากขึ้น แบบที่เค้าบอกว่าให้ทำใจให้คิดแบบเด็ก และทำสมองให้คิดแบบผู้ใหญ่ คือมีจิตใจสดใสบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและมองโลกด้วยความใคร่รู้แบบเด็ก แต่มีสมองอันเฉียบแหลมและไตร่ตรองตามความเป็นจริงแบบผู้ใหญ่ เท่านี้ข้อจำกัดต่างๆ ก็จะหมดไป

อย่างหนึ่งที่เราชอบมากในคาบนี้ก็คือลิฟท์อวกาศ แบบว่า ว้าว! ช่วยทำให้เสร็จเร็วๆ เลยนะ อยากขึ้นไปมากๆ เป็นไอเดียที่ดีจริงๆ มนุษย์เรานี่เก่งได้อีก

ส่งท้ายด้วยเกมไพ่อันสนุกสนาน เป็น Personality Card Game ที่ให้เราเลือกไพ่ที่มีคำบรรยายตรงกับตัวเราที่สุด เพื่อประเมินว่าเราเป็นคนแบบไหน ซึ่งเราได้สีแดงล้วนเลยอะ มีทั้ง Creative, Empathetic, Good Listener, Needy และ Relationship Oriented ซึ่งส่วนมากเป็นดอกหัวใจ เกี่ยวกับการดีลกับคนรอบข้าง ดีลกับอารมณ์ความรู้สึกซะเยอะ ก็แน่ล่ะเราโง่เรื่องคิดๆ จัดการหาคำตอบ แล้วก็ทำงานเป็นระบบจะตายไป อาจารย์บอกว่าในการทำงานในแต่ละกลุ่มควรมีความสมดุลของคนทุกๆ แบบ เพราะคนที่เราไม่ชอบที่สุดอาจจะเป็นคนที่เราต้องการที่สุดก็ได้นะ

จบแล้วจ้า...

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

I lost a friend.

เพื่อนของเราคนหนึ่งเสียชีวิต...

เมื่อเช้าตอนกำลังนั่งเรียนพาราเลล พี่จ๋าโทรศัพท์มาแจ้งข่าวร้ายนี้กับเรา พี่จ๋าบอกว่าพี่เปียเสียแล้ว วูบแรกตอนนั้นในหัวเราคือ เห้ย! บ้าเหอะ ไม่เชื่อ ตอนนั้นพี่จ๋าเองก็ยังไม่แน่ใจว่าข่าวนี้จริงหรือเปล่า อย่างน้อยเราสองคนก็เลือกที่จะไม่เชื่อแบบนั้น แต่แล้วมันก็คือความจริง พี่เปียจากไปแล้วจริงๆ ด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ที่หาดใหญ่บ้านเกิดของพี่เขา เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

เรารู้จักพี่เปียตอนไปเวิร์คตอนปี 1 เราสนิทสนมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ พี่เปียเป็นหนึ่งในไม่กี่คนตั้งแต่เราเคยพบมาที่ดูดีออกมาจากภายในอย่างแท้จริง ไร้หน้ากาก ไร้การเสแสร้ง มีเพียงความใสซื่อสะท้อนออกมาจากจิตใจอันบริสุทธิ์ พี่เปียพูดจาเนิบนาบ มีรอยยิ้มที่น่ารักบนใบหน้าเสมอๆ และเป็นคนอบอุ่นที่ทำให้ทุกๆ คนรู้สึกสบายเมื่ออยู่ด้วย จำได้ว่าเวลาเราหลงๆ ลืมๆ หรือมีเรื่องอะไรเดือดร้อน พี่เปียจะเป็นคนที่ห่วงใยในปัญหาของเราอย่างจริงจัง และเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรามากที่สุดคนหนึ่ง

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราเพิ่งไปร่วมแสดงความยินดีที่พี่เปียสำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ การโอบกอดกัน ถ้อยคำแสดงความยินดี ถ้อยคำขอบคุณ และรอยยิ้มน่ารักอันคุ้นเคยของบัณฑิตใหม่ในกล้องถ่ายรูปของเรา ไม่นึกเลยว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่เราจะได้เห็น และคำร่ำลาในวันนั้นจะกลายเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย

สวรรค์คงมีงานล้นมือจริงๆ ถึงได้พรากพี่เปียไปจากพวกเราเร็วขนาดนี้ โลกคงจะเป็นที่ที่น่าอยู่น้อยลงในวันนี้เมื่อมีคนดีๆ อีกหนึ่งคนต้องจากไป และสวรรค์คงจะเป็นที่ที่น่าอยู่ขึ้นเมื่อได้มีโอกาสต้อนรับนางฟ้าคนใหม่ผู้มีจิตใจแสนงดงามคนนี้

หลับให้สบายนะครับ พี่เปีย

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

50 (?) สุดยอดเพลงในวัยเรา

โครงงานเดี่ยวของเรานี่คิดการ (ต้องมี "ณ์" มั๊ยอะ) ใหญ่ไปหน่อย เพราะจะทำ Scrapbook รวบรวม 50 เพลงที่คนอายุอย่างเราๆ น่าจะรู้จัก แต่ถ้าไม่รู้จักก็ควรเสด็จไปหามาฟังให้เป็นบุญรูหู ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้คัดแต่เพลงดัง เพลงฮิตเท่านั้น ปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลยต้องเป็นเพลงที่ดีด้วยนะ คำว่า "ดี" เนี่ยก็แตกต่างกันไปตามบรรทัดฐานของแต่ละคนอีก แต่เราทำเองก็ต้องใช้บรรทัดฐานเราสิ สรุปว่าว่าเป็นการรวบรวม 50 (จะถึงหรือเปล่าหนอ) เพลงที่ดังและเราว่าดีนั่นเอง ใครไม่เห็นด้วยก็อย่าอ่าน หาได้แคร์ไม่ 555+

ก่อนอื่นเพื่อให้เข้าธรรมเนียมรายการหนูทำได้ น้องบีมก็ต้องขอแนะนำอุปกรณ์ที่ใช้ก่อนนะฮับ เลี่ยนเนอะ เขียนเหมือนเดิมดีกว่า ก็จะมีสมุดที่ซื้อมา กระด่งกระดาษขาวมั่งสีมั่งที่หาได้ตามอัตภาพ และทาดาห์! ที่ตัดกระดาษไฮโซที่ได้รับอุปการคุณจากเนย ขอบคุณมากๆ นะจ๊ะ เอ้อ! แล้วก็อย่าลืมกาวด้วยนะ

ส่วนอันนี้เป็นลิสต์เพลงที่เราทำมาอาทิตย์นึงได้ละ (ยังไม่ลงตัวซะทีซะงั้น) ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยเสนอเพลงเข้ามา บางเพลงเราอาจไม่เอา ไม่ใช่เพราะเราไม่ใส่ใจนะ ความจริงคือ... เราก็ไม่ได้ใส่ใจจริงๆ อะแหละ (อย่ามองค้อน รู้นะว่าไม่พอใจ อิอิ)

ตัวอย่างหน้าที่เสร็จสมบูรณ์ก็จะเป็นอย่างนี้เด้อขรั่บเด้อ...

ที่เลือกทำอันนี้ก็เพราะว่าปกติเราชอบฟังเพลงมากๆ ทั้งไทย ญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง แต่จะเน้นเพลงฝรั่ง ดูใน blog นี้ก็น่าจะพอรู้อะนะ แล้วก็ชอบเขียนรีวิว วิจารณ์ หรืออะไรก็ตามแต่จะเรียก ก็แบบสมัครเล่นอะนะ สนุกๆ ขำๆ เพราะเราไม่มีความรู้ด้านดนตรีอะไรทั้งสิ้น แต่ว่าชอบฟัง ชอบตีความเท่านั้นเอง ก็หวังว่าคนที่หลงมาอ่านจะพอเข้าใจนะว่าเราต้องการจะสื่ออะไรออกไป

TCDC

วิชา Innovative Thinking คราวนี้ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่ TCDC หรือศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบที่ชั้น 6 เอ็มโพเรียม ดูหรูหราไฮโซมากกว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย มาถึงแล้วไม่รอช้าก็เข้าไปชมนิทรรศการส่วนแรกก่อนเลย เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับงานออกแบบของชาติต่างๆ นั่นเอง ตั้งแต่แก้วที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากฟยอร์ดโดยชาวฟินแลนด์ เก้าอี้สีสันสดใสโดยนักออกแบบชาวบราซิล สูทผู้หญิงของโคโค่ ชาแนลที่ปฏิวัติวงการแฟชั่นในฝรั่งเศส หรือว่าจะเป็นเก้าอี้หลอกตาที่เมื่อตั้งอยู่เฉยๆ ก็ดูเหมือนจะนั่งไม่ได้ แต่พอลองหย่อนก้นปุ๊บก็ ว้อลล่า! ยุบลงไปเลย ฮูเร่!

ตามที่คาดหมาย อาจารย์ก็มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกตามเคย คราวนี้โจทย์มีอยู่ว่าสมมติโลกเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ มนุษยชาติในปัจจุบันสูญสิ้นไปหมด เหลือแต่มนุษย์ยุคใหม่แล้วตอนนี้ ให้ลองจินตนาการว่าสถานที่สำคัญต่างๆ ในยุคนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่าลืมว่าจะต้องลบขนบเก่าๆ ไปให้หมด ไม่มีข้อจำกัดทางสังคมใดๆ ทั้งนั้น ซึ่งกลุ่มเราก็ได้สถานีตำรวจล่ะ จะออกมาแบบไหนหนอ

ว่าแล้วก็ออกไปหาข้อมูลจากทั้งในห้องสมุดและนิทรรศการส่วนที่สองซึ่งผัดเปลี่ยนหมุนเวียนตามช่วงเวลา ซึ่งตอนนี้เป็นนิทรรศการปล่อยแสงที่ให้นักออกแบบจากทั่วประเทศมาจัดแสดงผลงานกันตามชอบใจ มีอยู่อันแบบว่าเจ๋งมากเลย เป็นกระดาษที่ตัดไว้แปลกๆ ดูไม่รู้เรื่องว่าคืออะไร แต่พอเปิดไฟที่ส่องจากด้านบนดู มันก็จะเกิดเงาเป็นรูปขึ้นมาล่ะ อย่างอันนี้ก็เป็นรูปพระพิฆเนศ สุดยอดจริงๆ (แต่มิได้นำพาเพราะไม่ได้เอามาใช้อะไรกับสถานีตำรวจหรอก แค่เอามาให้ดูเพราะเจ๋งดี ...อ้าว! ลืมหมุนรูปให้อะ หมุนหัวตามเอาเองนะ)

แล้วก็ถึงเวลานำเสนอ สถานีตำรวจออกแบบให้ลอยน้ำได้เพราะตอนนั้นน้ำคงจะท่วมโลกไปเยอะอยู่ ตำรวจก็ใส่ชุดว่ายน้ำไว้ข้างในเพื่อเตรียมพร้อมตลอดเวลา แถมนั่งบานาน่าโบ๊ตซะด้วยนะ เก๋เกิ๊น ส่วนนักโทษจะถูกขังในคุกใต้น้ำ และต้องใส่ชุดราตรีให้กรุยกรายเข้าไว้ จะได้หนียากๆ เพราะชุดมันหนักจนได้จมน้ำตายก่อน และไอเดียอื่นๆ อีกมากมายยากจะสาธยายหมด แต่จะบอกว่าเป็นการพรีเซนต์ที่มันส์มาก เราได้ออกไปพูดคู่กับป๋าบอลล่ะ สนุกสนานมากมายยังกะมายืนคุยเล่นกับเพื่อนหน้าชั้นเรียน แบบว่าไม่มีบทเลย คิดอะไรได้ก็พูด เดี๋ยวกำลังว่าจะไปตั้งคณะตลก ประมาณว่าเล่นเองขำเอง มีความสุขกันตามประสา

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

My Chilling Birthday

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอาจารย์มาสอนไม่ได้ บอกแค่ว่าจะมีเกมให้เล่นสนุกๆ ปรากฎว่าเป็นเกม 20 คำถามซึ่งสนุกจริงๆ ว่ะ เล่นแล้วมันเพลินมากมายอะ จำไม่ค่อยได้แล้วว่าคำถามถามว่าอะไรมั่ง แต่ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์จำลองแปลกๆ แล้วให้คนในกลุ่มเดาว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยรุมถามคำถามแบบใช่หรือไม่ใช่กับอีกคนในกลุ่มที่รู้คำตอบ รู้แต่ว่าเพลินมาก เล่นๆ ไปอ้าว! จบซะแล้ว เหอๆ

จะเขียนแค่นี้ก็สั้นไปหน่อย ใจจริงอยากจะเขียนเกี่ยวกับเด๊กซ์เตอร์อีก เมื่อวันเสาร์นั่งดูไป 4 ตอนจนถึงกับเก็บไปฝัน แต่ว่าคงไม่มีใครรู้เรื่องเพราะมีเราบ้าดูอยู่คนเดียว 555+ ดูจบหมดสต็อก 3 ซีซั่นแล้ว สนุกมากมายเหอะ มันจะสร้างปีละหลายๆ ซีซั่นไม่ได้เหรอ แง้! นี่ต้องรอยันปลายเดือนดูตอน Pilot ของซีซั่น 4 พร้อมที่อเมริกาไปเลยนู่นแน่ะ อีกตั้งนานอ่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวดูซ้ำของเก่าเก็บรายละเอียดอีกรอบก็ได้ (บ้าไปแล้วกรู)

ระหว่างนี้เปลี่ยนอารมณ์คลั่งฆาตกรโรคจิตมาฟังเพลงมั่งดีกว่า ช่วงนี้แวดวงเพลงซบเซาเหลือเกิน ไม่มีอะไรน่าสนใจออกมาสักเท่าไหร่เลยตั้งแต่แจ๊คโก้เสีย แต่วันนึงตอนขับรถกลับบ้านได้ฟังเพลง My Bloody Valentine ของทาทา จริงๆ เคยเห็นเสียงชื่นชมมากมายจากในเนตมาบ้างแล้วกับเพลงนี้ แต่ได้พอฟังเอง เห้ย! นี่มันทาทาเหรอฟะ เห้ย! ฝรั่งโคตรๆ อะ สุโค่ย! ชีทำได้จริงๆ เพลงดีมาก ดีแบบใครได้ไปร้องมีแต่เกิดกับเกิด ฟังวนหกสิบรอบยังไม่เบื่อเลยอะ มันเรื่อยๆ ดี นี่เห็นจะโปรโมตที่อังกฤษก็หวังว่าชีจะดังเสียที ลุ้นกับยัยอูให้ดังก็ลุ้นไม่ขึ้นเลย เพราะถึงรายนั้นเพลงจะดีแต่แม่เอาแต่ชิวไม่ยอมเดินสายโปรโมต เข้าใจว่ามีเงินเยนเยอะรวยแล้ว คราวนี้ขอเชียร์คนไทยมั่ง ก็ของเขาดีจริงๆ ลองฟังดิ

So Random!

Random Stimulation เป็นอีกกลยุทธ์ในการได้มาซึ่งความคิดอันแปลกใหม่ เริ่มจากกำหนดปัญหา เลือกคำนามขึ้นมาสักคำแต่ต้องห้ามเปลี่ยนนะ จากนั้นก็หาแนวคิดจากคำนั้นมาประยุกต์กับปัญหาเพื่อให้ได้ไอเดียเยอะๆ กิจกรรมในการเรียนครั้งนี้จึงเป็นการสุ่มหาคำนามจากหนังสือที่แต่ละคนนำมา สิ่งที่เราคิดได้ก็ช่าง... เก๋ไก๋หาใดเปรียบจริงตั้งแต่บริการโทรศัพท์มือถือแบบใหม่ กับคำว่า "การดำนา" ทำให้ได้ความคิดที่ว่าลูกค้าที่โทรกลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดก็โทรฟรีไปเล้ย ...นี่ ไปยันเกมออนไลน์แบบใหม่กับคำว่า "นกพิราบ" ที่ได้ความคิดว่าให้มีเกมออนไลน์ที่เล่นกันเองในหมู่ผู้โดยสารเครื่องบินแล้วกัน ...คิดไปได้นะเรา

Creativity is all about connecting things. ฟังดูแล้วก็จริงนะ ความคิดน่ะมันเกิดมาได้เพราะมีคนคิดมาก่อนแล้วล่ะ แต่การผสมผสานมันให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นนี่แหละที่ต้องอาศัยความสามารถอีกระดับหนึ่ง ...ความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง

การหามุมมองที่หลากหลายทำได้โดยการระดมสมอง และการคิดแบบ 6 หมวก การระดมสมองหรือ Brainstorming คิดค้นโดย Alex Osborn นักโฆษณาชาวอเมริกา โดยมีกฎหลักๆ ว่าการระดมสมองในกลุ่มคนหลายๆ คนแต่ละครั้งจะต้องมีอิสระ ไอเดียที่ยิ่งแปลกก็นับว่ายิ่งดี ห้ามวิจารณ์กันและกัน และสำคัญที่ปริมาณไอเดียที่ได้ ยิ่งเยอะยิ่งเวิร์ค อาจารย์เปิดวีดีโอของทีมออกแบบรถเข็นชอปปิ้งรุ่นใหม่จาก IDEO วิธีการทำงานของเขาดูกระตือรือร้นกันดีแถมผลลัพธ์ก็ว้าว! คิดได้อะ เป็นรถเข็นที่แจ่มจริงๆ ส่วนการคิดแบบหมวก 6 ใบซึ่งได้แก่หมวกสีขาว ขำ แดง เหลือง เขียว และน้ำเงินก็จะทำให้เราได้ลองสวมวิญญาณของบุคลิกหลายๆ อย่างในแต่ละบุคคล ไล่เรียงไอเดียออกมาตามสีของหมวกที่ใส่ตอนนั้น ก็จะได้ไอเดียออกมาเพียบไว้ให้ใช้สอยแถมยังเป็นไอเดียที่มีแง่มุมต่างกันไม่ซ้ำซาก